Filed under : ARTS > INTEGRATED SCIENCE
“ในผลงานภาพเขียน The School of Athens, จิตรกรรมเฟรสโกโดย Raphael แสดงภาพของ Plato และ Aristotle ยืนเคียงข้างกัน สำหรับ Plato ชี้นิ้วขึ้นไปบนสวรรค์สู่โลกของแบบอุดมคติ ส่วน Aristotle ถูกนำเสนอด้วยการที่เขากำลังยื่นมือออกไปขนานกับผืนดิน”

สุนทรียศาสตร์กรีกโบราณ ว่าด้วย โศกนาฏกรรม หัสนาฏกรรม และมหากาพย์
รองศาสตราจารย์ สมเกียรติ ตั้งนโม
The School of Athens
ในผลงานภาพเขียน The School of Athens, จิตรกรรมเฟรสโกโดย Raphael แสดงภาพของ Plato และ Aristotle ยืนเคียงข้างกัน สำหรับ Plato ชี้นิ้วขึ้นไปบนสวรรค์สู่โลกของแบบอุดมคติ ส่วน Aristotle ถูกนำเสนอด้วยการที่เขากำลังยื่นมือออกไปขนานกับผืนดิน งานจิตรกรรมชิ้นนี้ได้แสดงให้เห็นถึงความหลงใหลของปัญญาชนสมัยเรอเนสซองค์ ซึ่งมีต่อทัศนะและความสัมฤทธิผลของกรีกและโรมันโบราณ นอกจากนี้ยังถ่ายทอดอย่างแม่นยำถึงความแตกต่างระหว่างแนวคิดปรัชญาของ Plato และ Aristotle ซึ่งเป็นความต่างที่แสดงออกผ่านผลงานศิลปกรรมทั้งหลายของพวกเขา
(ภาพประกอบ)
โลกของแบบในทัศนะของอริสโตเติล
แม้ Plato และ Aristotle จะมีแนวคิดทางปรัชญาแตกต่างกัน แต่ความต่างนั้นไม่ควรจะถูกแสดงให้เกินเลยไป เพราะทั้ง Plato และ Artistotle เชื่อว่า ในแก่นสารของเหตุผล
อันไม่เปลี่ยนแปลง หรือแบบ (Forms), ได้ให้รูปร่างสรรพสิ่งที่เรารู้จัก ทั้งคู่เชื่อว่าไม่มีสิ่ง
ใดสามารถถูกทำความเข้าใจได้โดยปราศจากความเข้าใจรูปทรงของมัน (nothing can be understood without grasping its form.) คำว่า “information” (ข้อมูล-ความรู้) สืบทอดมาจากปรัชญาของพวกเขา กล่าวตามตัวอักษร มันหมายถึงการจับเอารูปทรงของบางสิ่งเข้ามาในใจ (taking the form of something into one’s mind), และปล่อยให้รูปทรงนั้นก่อรูปร่างในจิตใจ
Aristotle ต่างจาก Plato ในสิ่งที่เขาเรียกว่า “การแบ่งแยกเกี่ยวกับแบบต่างๆ” (the separation of the forms.) Plato ยืนยันว่าแบบ (Forms) คือสัจจะที่แท้จริง(true reality), และโลกคือปรากฏการณ์ที่จำลองมาจากแบบเหล่านั้น. ส่วน Aristotle ถือว่า”แบบ” (Forms) ไม่เคยแยกออกจากสิ่งต่างๆ ในวิธีการนี้. ข้อยกเว้นหนึ่งสำหรับเรื่องดังกล่าวคือ “สิ่งที่เคลื่อนไหวที่ไม่ถูกเคลื่อนไหว” (unmoved Mover-ความเคลื่อนไหวในความนิ่งสงบ) ซึ่งคือแบบอันบริสุทธิ์ คือสิ่งซึ่งสรรพสิ่งพยายามดิ้นรนอย่างหนัก
สรรพสิ่งที่เราคุ้นเคยซึ่งถูกสร้างขึ้นจากสสารได้รับการก่อรูปให้เป็นนั่นเป็นนี่ ไม่มีรูปแบบใดที่ปราศจากเนื้อหา และไม่มีเนื้อหาใดที่ปราศจากรูปทรง รูปทรงอันเป็นแก่นของสรรพสิ่งได้กำหนดนิยามว่ามันคืออะไร และตระเตรียมพลังขับเคลื่อนสำหรับการดำรงอยู่และการพัฒนาของสิ่งนั้น ทุกสิ่งพยายามดิ้นรนที่จะ”งอกงามไปสู่”(grow into) รูปแบบของมัน และรูปแบบได้กำหนดนิยามให้สิ่งนั้นสามารถเป็นไปตามศักยภาพ ยกตัวอย่างเช่น ผลของต้นโอ๊กมีแบบของต้นโอ๊กอยู่ ซึ่งการที่มันมีรูปทรงนั้น แน่นอนมิได้มาจากการจ้องมองไปที่มัน แต่มันเป็นไปภายใต้เงื่อนไขหรือสถานการณ์ต่างๆ ที่ถูกต้อง ต้นโอ๊กคือสิ่งที่ผลต้นโอ๊กจะกลายเป็น
อริสโตเติล: ศิลปะเลียนแบบอะไร
Aristotle ได้ใช้เวลากับเรื่องของศิลปะและเปลี่ยนแปลงมันอย่างจริงจังกว่า Plato. ไม่ต้องประหลาดใจว่า เขาค่อนข้างเป็นมิตรกับความลุ่มหลงต่างๆ มากกว่า Plato ด้วย แม้ว่าเขาจักตระหนักว่า ความดีทางศีลธรรม คืออุปนิสัยอันหลากหลายที่ถูกควบคุมด้วยเหตุผล เหนืออารมณ์ความรู้สึกหรือกิเลส
คล้ายคลึงกับ Plato, Aristotle คิดว่าศิลปะเกี่ยวข้องกับการเลียนแบบ[imitation] (mimesis-การสำเนาหรือคัดลอก), แม้ว่าในประเด็นนี้เช่นเดียวกับอีกหลายคน เขามีความยืดหยุ่นและยินยอมให้สำหรับข้อยกเว้นต่างๆ เขายังคิดมากกว่า Plato ในเรื่องเกี่ยวกับคำถามที่ว่า ศิลปะเลียนแบบอะไร(what art imitated). ยกตัวอย่างเช่น เขากล่าวว่า โศกนาฏกรรมคือการเลียนแบบชนิดหนึ่ง ซึ่ง“มิใช่ตัวบุคคล แต่เป็นท่าทีและชีวิต, ทั้งความสุขและความทุกข์โศก”(Poetics 1451b) ด้วยเหตุนี้ เขาจึงเอนเอียงไปสู่ทฤษฎี”ศิลปะในฐานะการเลียนแบบโลกอุดมคติ” (art as imitation of the ideal) ซึ่งเป็นหลักการที่ Plato ได้พัฒนาขึ้น แต่ไม่เคยทำ
Poetics – Aristotle
การระบายอารมณ์ความรู้สึก (Catharsis – katharsis)
แนวคิดต่อไปนี้ที่เชื่อมโยงกับศิลปะได้รับการพัฒนาขึ้นในงาน Poetics ของ Aristotle. สำหรับละครกรีกเป็นสิ่งที่ค่อนข้างหลีกเลี่ยงกัน ดังที่ Plato ทำ, เนื่องจากการที่ละครได้ไปปลุกเร้าอารมณ์ความรู้สึกต่างๆ (กิเลส) แต่ Aristotle กลับโอบกอดคุณสมบัติพิเศษเหล่านี้ไว้. หนึ่งในแก่นสารทางสุนทรียศาสตร์ของเขาก็คือ ทฤษฎีเกี่ยวกับ catharsis (การระบายถ่ายท้อง – การปลดเปลื้องอารมณ์) หรือ การชำระล้างอารมณ์ความรู้สึกต่างๆ (ผ่านความสงสาร ความเห็นอกเห็นใจ และความกลัว)(through pity and fear) ซึ่งถูกทำให้บรรลุโดยละครโศกนาฏกรรม
อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้พัฒนาทฤษฎีไปไกล (เพียงปรากฏในข้อความไม่กี่บรรทัดในเรื่อง Poetics) แต่กลับมีอิทธิพลอย่างมาก. ดูเหมือน Aristotle มีความเชื่อว่า การระบายถ่ายเททางอารมณ์ความรู้สึกนี้(emotional katharsis) เป็นสิ่งที่ดี และด้วยเหตุดังนั้น จึงดูประหนึ่งว่าเขาได้โอบรัดแง่มุมหนึ่งของศิลปะไว้ ขณะที่ Plato ปฏิเสธ
เอกภาพ (The Unities)
ส่วนใหญ่แล้ว เนื้อหาเรื่อง Poetics ได้รับการอุทิศให้กับการละคร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับโศกนาฏกรรม. Aristotle ได้นำเสนอถึงประวัติความเป็นมาเกี่ยวกับพัฒนาการของกวีนิพนธ์และการละคร รวมถึงให้กรอบการวิจารณ์สำหรับการประเมินคุณค่าละครโศกนาฏกรรมด้วย
Poetics ถือเป็นความเรียงที่เป็นระบบเรื่องแรกในทฤษฎีวรรณกรรม อันเต็มไปด้วยความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง และแสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นอย่างมากในการใช้ประโยชน์เกี่ยวกับกฎเกณฑ์ต่างๆ คล้ายดั่งความพยายามด้านอื่นๆ ของ Aristotle จำนวนมากที่จะทำให้ขอบเขตความรู้หนึ่งๆ เป็นระบบขึ้นมา กรอบความคิดนี้ค่อนข้างมีอิทธิพลอย่างมากกระทั่งปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ได้ส่งอิทธิพลในช่วงระหว่างยุคเรอเนสซองค์ และช่วงต้นยุคสมัยใหม่ของยุโรป
Aristotle เน้นถึงความต้องการทำให้เกิดเอกภาพในผลงาน พล็อตเรื่องควรถูกทำให้มีเอกภาพ การพรรณา ผลกระทบ การแสดงที่ถูกยืดออก ซึ่งเริ่มจากจุดตั้งต้น พัฒนาการต่อมา และจนถึงจุดวิกฤตในตอนจบ(climactic conclusion). (แน่นอน มันไม่ควรถูกพัฒนาในแบบที่คาดเดาได้อย่างน่าเบื่อ แต่ควรจะพลิกผันสร้างความประหลาดใจ เพื่อจะทำให้คนดูสนใจและถูกปลุกเร้าอารมณ์ปรารถนา รวมถึงความรู้สึกสงสารและความกลัว)
คุณลักษณะของตัวเอก(ตัวชูโรง) ควรคงเส้นคงวา และการแสดงของตัวละครทั้งหลาย ควรกลั่นออกมาภายใต้สถานการณ์ต่างๆ ช่วงเวลาของการแสดงควรถูกทำให้เป็นเอกภาพด้วย ทั้งนี้เพื่อทำให้พล็อตเรื่องสามารถเกาะติดกับความทรงจำในฐานะที่เป็นการแสดง. Aristotle คิดว่า ปกติแล้วมีนัยยะว่า การแสดง(การดำเนินเรื่อง) น่าจะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพียงวันเดียว. เอกภาพการแสดงต่างๆ ตัวละคร และช่วงเวลา เหล่านี้ได้รับการพัฒนาและเพิ่มเติมต่อมาโดยบรรดานักประพันธ์ในยุคเรอเนสซองค์ เพื่อสร้างกฎเกณฑ์ รสนิยมที่ดี คุณสมบัติของความงาม(decorum) สำหรับการสร้างงานละคร และความล้มเหลวในความใส่ใจเรื่องของ”เอกภาพ” มักจะหมายถึงการนำไปสู่ความล้มเหลวของผลงาน แน่นอน นี้คือสิ่งที่นำไปสู่การกบฎต่อ Aristotle ซึ่งอันที่จริงคือคนที่ไม่รับผิดชอบสำหรับความเกินเลยไปจากกฎเกณฑ์ และไม่ต้องสงสัยว่ามิได้ตั้งใจที่จะสร้างกฎเกณฑ์ใหม่ขึ้นมาชุดหนึ่งสำหรับนักแต่งบทละครเป็นประการแรก
ส่วนเรื่องของมาตรฐานการวิจารณ์ของเขากลับไม่มีอิทธิพลต่อมาในการประเมินคุณค่าละครและนวนิยาย โดยไม่ต้องกล่าวถึงงานอื่นๆ. แต่เรื่อง Poetics ยังคงประสบความสำเร็จอย่างน่าประทับใจ และความเข้าใจอย่างลึกซึ้งจำนวนมากยังคงความน่าเชื่อถือมาอย่างต่อเนื่อง ดูเหมือนว่ามันยังคงเป็นกฎเกณท์ทั่วไปที่ดี ซึ่งพล็อตเรื่องหนึ่งๆ ควรถูกทำให้มีเอกภาพ
ในงานละคร นักแสดงควรจะเผยตัวออกมาด้วยการกระทำ ความแปรผันน่าประหลาดใจคือตัวช่วยที่สำคัญสำหรับพล็อตเรื่องหนึ่ง ตราบเท่าที่สิ่งเหล่านี้จะไม่เหลือเชื่อจนเกินไป และไม่ควรที่จะพยายามครอบคลุมห้วงเวลาที่เป็นจริงยาวนานเกินไปในช่วงเวลาของละคร
ความเป็นสากล (universality)
แนวคิดเกี่ยวกับการระบายถ่ายท้อง หรือ catharsis ถือเป็นสิ่งที่มีพลังความสามารถในการอธิบาย และต่อมาคือแนวคิดเกี่ยวกับศิลปะซึ่งถ่ายทอดความเป็นสากล(universal), “มิใช่สิ่งหนึ่งที่เป็น แต่หมายถึงสิ่งประเภทนั้นที่อาจเป็น” (not a thing that has been, but a kind of thing that might be.)
นิยามความหมายโศฏนาฏกรรม ของ Aristotle
โศกนาฏกรรมคือการเลียนแบบการกระทำหนึ่งซึ่งเป็นเรื่องจริงจัง มีความสำคัญ และสมบูรณ์ในตัวมันเอง ในด้านภาษาประกอบด้วยแก่นสารเนื้อหาอันน่าพอใจ แต่ละอย่างที่แยกๆ กันนำไปสู่แต่ละส่วนของผลงาน. ในเรื่องของละครมิใช่รูปแบบของการเล่าเรื่อง แต่เป็นเรื่องราวเหตุการณ์ที่ปลุกเร้าความรู้สึกสงสารและความหวาดกลัว เพื่อจะบรรลุผลสำเร็จในการระบายถ่ายเทอารมณ์ความรู้สึกนั้น (Poetics 1449b.24)
Aristotle ได้จำแนกองค์ประกอบ 6 ประการของละครโศกนาฏกรรมเอาไว้ดังนี้
พล็อตเรื่อง (Plot)
ตัวละคร (Character)
การเลือกใช้คำพูด คำศัพท์ (Diction)
ความสามารถในการคิด (Thoughts)
การแสดง และความน่าตื่นเต้น (Spectacle)
ทำนองเพลง – ความไพเราะ (Melody)
การเลือกใช้คำศัพท์และท่วงทำนองเพลง(diction and melody) เป็นสไตล์ของตัวบทหรือโครงกลอนประกอบด้วยเสียงพิณตั้งและดนตรี ซึ่งได้ถูกจัดขึ้นมา (ละครโศกนาฏกรรมกรีกคล้ายๆ กับโอเปร่าในหลายส่วน แม้จะไม่ใช่เรื่องปกติตามแนวทางหลักของตัวละครต่างๆ เป็นผู้ร้อง)
การแสดง-ความน่าตื่นเต้น(Spectacle) เป็นเรื่องเกี่ยวกับองค์ประกอบบนเวที แสงสี การจัดฉาก เครื่องแต่งกาย และอะไรทำนองนั้น ส่วนเรื่องของความคิด(Thought) เป็นการอ้างอิงถึงการแสดงออก การบ่งชี้ ซึ่งปกติแล้วเป็นเรื่องของคำพูด แต่ยังรวมไปถึงวิธีการต่างๆ ที่ตัวละครทั้งหลายใช้ความคิดด้วย
องค์ประกอบอีกสองประการที่เหลือเป็นเรื่องซึ่ง Artistotle ได้ให้ความใส่ใจมากที่สุด นั่นคือ พล็อตเรื่องและตัวแสดง(Plot and Character) เกี่ยวกับองค์ประกอบสองประการนี้ Aristotle คิดว่า พล็อตเป็นเรื่องที่มาก่อนหรือสำคัญที่สุด. “ในงานละคร มิได้เป็นการแสดงเพื่อที่จะพรรณาตัวละครต่างๆ เท่านั้น; แต่รวมถึงตัวละครต่างๆ ทำไปเพื่อวัตถุประสงค์ของการแสดง (In a play, they do not act in order to portray the characters; they include the characters for the sake of the action) (Poetics 1450a.20) นั่นมิได้หมายความว่าเขาได้ให้การยอมรับเกี่ยวกับภาพยนตร์แอคชั่นสมัยใหม่ (modern “action films”) ซึ่งเนื้อหาสาระหนักๆ ของตัวแสดงเหล่านั้น ค่อนข้างเป็นเรื่องของการฆาตกรรมและการขับเคลื่อนที่รวดเร็ว. สำหรับ Aristotle การแสดง(action)จักต้องสอดคล้องกับตัวละคร และเผยตัวละครออกมา
ความแตกต่างระหว่าง”กวีนิพนธ์”กับ”ประวัติศาสตร์”
ศิลปะได้รับการนิยามโดย Aristotle ในฐานะที่เป็นการตระหนักถึงรูปแบบภายนอกของความคิดที่เป็นจริงอันหนึ่ง และได้รับการตามรอยย้อนกลับไปสู่ความรักในธรรมชาติเกี่ยวกับการเลียนแบบที่แสดงลักษณะพิเศษของมนุษย์ และความพึงพอใจซึ่งเรารู้สึกในการยอมรับความเหมือนจริง(likenesses). อย่างไรก็ตาม ศิลปะมิได้ถูกจำกัดเพียงแค่การสำเนาหรือเลียนแบบ แต่ศิลปะทำให้ธรรมชาติเป็นอุดมคติและทำให้ข้อบกพร่องสมบูรณ์ขึ้น กล่าวคือ ศิลปะแสวงหาหรือไขว่คว้าแบบของความเป็นสากลในปรากฏการณ์แต่ละปัจเจก
โดยเหตุนี้ ความแตกต่างระหว่าง”ศิลปะกวีนิพนธ์”กับ”ประวัติศาสตร์” จึงไม่ใช่เรื่องของการใช้มาตรวัด ส่วนอีกด้านหนึ่งไม่ใช้. ความแตกต่างคือ “ขณะที่ประวัติศาสตร์ถูกจำกัดด้วยข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น กวีนิพนธ์ได้ให้ภาพหรือพรรณาสิ่งต่างๆ ในลักษณะที่เป็นสากลของพวกมัน และด้วยเหตุนี้ กวีนิพนธ์จึงมีลักษณะในเชิงปรัชญาและยกระดับขึ้นเกินกว่าประวัติศาสตร์”. การเลียนแบบอาจแสดงออกหรือเป็นตัวแทนผู้คนซึ่งอาจทำได้ดีกว่าหรือเลวกว่าที่คนๆ นั้นเป็น อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือไม่ก็ไปพ้นหรือต่ำกว่ามาตรฐานโดยเฉลี่ย
หัสนาฏกรรม (Comedy)
“หัสนาฏกรรม”คือการเลียนแบบตัวอย่างที่เลว (worse examples) ของมนุษยชาติ แต่อย่างไรก็ตาม ต้องไม่เข้าใจไปในความหมายความเลวบริสุทธิ์(absolute badness), เป็นแต่เพียงสิ่งที่ต่ำลงมาและเป็นเรื่องชั่วร้ายหรือเป็นเรื่องของพวกไพร่ (ignoble) อันเป็นเรื่องที่น่าหัวเราะและตลกขบขัน
โศกนาฏกรรม(Tragedy)
“โศกนาฏกรรม”คือการเป็นตัวแทนเรื่องราวที่จริงจังหรือมีความหมาย โศกนาฏกรรมคือการเป็นตัวแทนซึ่งถูกทำขึ้นโดยการแสดง มิใช่เพียงการเล่าเรื่อง. มันถูกทำให้เหมาะเจาะด้วยการถ่ายทอดหรือพรรณาถึงเหตุการณ์ต่างๆ ซึ่งก่อให้เกิดความหวาดกลัวและน่าตื่นเต้น เกิดความรู้สึกสงสารในใจของผู้ชม ผู้ชมจักได้รับการชำระล้างและทำให้บริสุทธิ์จากความรู้สึกเหล่านั้น และสามารถที่จะยืดขยายและควบคุมความรู้สึกเห็นอกเห็นใจได้ ด้วยเหตุนี้ มันจึงเป็นการแก้ไขปัญหาหรือการเยียวยาในแบบวิธีการ homeopathic curing (*) (หนามยอก เอาหนามบ่ง) เกี่ยวกับกิเลสตัณหาต่างๆ
(*) Homeopathy (also spelled Homoeopathy or Hom?opathy) is a form of alternative medicine, first proposed by German physician Samuel Hahnemann in 1796, that treats patients with heavily diluted preparations which are thought to cause effects similar to the symptoms presented. Homeopathic remedies are prepared by serial dilution with shaking by forceful striking, which homeopaths term “succussion,” after each dilution under the assumption that this increases the effect of the treatment. Homeopaths call this process “potentization”. Dilution often continues until none of the original substance remains.
Apart from the symptoms of the disease, homeopaths use aspects of the patient’s physical and psychological state in recommending remedies. Homeopathic reference books known as repertories are then consulted, and a remedy is selected based on the totality of symptoms. Homeopathic remedies are considered safe, with rare exceptions. Some homeopaths have, however, been criticized for putting patients at risk with advice to avoid conventional medicine such as vaccinations, anti-malarial drugs, and antibiotics. In many countries, the laws that govern the regulation and testing of conventional drugs do not apply to homeopathic remedies.
โดยทั่วไป ตราบเท่าที่ศิลปะทำให้เหตุการณ์เฉพาะอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นสากลขึ้นมา โศกนาฏกรรมได้ให้ภาพสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยอารมณ์รุนแรงและวิกฤตต่างๆ ซึ่งดูดดึงใจผู้ดูออกจากความเห็นแก่ตัวและจุดยืนที่เป็นเรื่องส่วนตัว พร้อมมองสิ่งที่เกิดขึ้นในความเชื่อมโยงกับมนุษย์จำนวนมากทั่วไป. อันนี้คล้ายคลึงกับคำอธิบายของ Aristotle เกี่ยวกับการใช้ประโยชน์ทางด้านดนตรีที่ไร้การควบคุม ความเมามายสุดเหวี่ยง ในการบูชาเทพ Bacchus [Dionysus] (*) และเทพเจ้าอื่นๆ กล่าวคือ มันเป็นช่องระบายอย่างหนึ่งสำหรับความรู้สึกท่วมท้นในศาสนา และด้วยเหตุนี้จึงทำให้อารมณ์ความรู้สึกทางศาสนาของคนๆ นั้นมั่นคง แน่วแน่ ไม่สั่นคลอน
(*)In classical mythology, Dionysus or Dionysos (หรือ Bacchus – the name adopted by the Romans) is the god of wine, the inspirer of ritual madness and ecstasy, and a major figure of Greek mythology, and one of the twelve Olympians, amongst whom Greek mythology treated him as a late arrival. The geographical origins of his cult were unknown to the classical Greeks, but all myths depicted him as having “foreign” origins; Dionysus is typical of the god of the epiphany, “the god that comes”.
He was also known as Bacchus, the name adopted by the Romans and the frenzy he induces, bakkheia. He is the patron deity of agriculture and the theater. He was also known as the Liberator (Eleutherios), freeing one from one’s normal self, by madness, ecstasy, or wine. The divine mission of Dionysus was to mingle the music of the aulos and to bring an end to care and worry. Scholars have discussed Dionysus’ relationship to the “cult of the souls” and his ability to preside over communication between the living and the dead.
http://www.rowan.edu/open/philosop/clowney/Aesthetics/philos_artists_onart/aristotle.htm
http://www.utm.edu/research/iep/a/aristotl.htm#H9
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น