ศิลปะในบริบททางสันติภาพ
โดย : สุชาติ สวัสดิ์ศรี

ท่านผู้มีเกียรติและเพื่อนศิลปินทุกท่าน...
คำว่า ‘สันติ’ แปลว่า ความสงบ ในภาษาบาลีเขียนว่า ศานติ ส่วนคำว่า สันติภาพ แปลว่า ภาวะความสงบ และ ภาวะปลอดจากสงคราม ซึ่งหมายถึง “สันติภาวะ”ในชีวิตประจำวัน ความปลอดพ้นจากความรุนแรง และความทุกข์ในทุกรูปแบบเนื้อหา ในทางคติพุทธ พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ อริยสัจจ์ 4 คือเห็นว่าชีวิตเป็นทุกข์ ดังนั้นจึงต้องรู้ถึงสาเหตุแห่งทุกข์ และหาทางดับทุกข์นั้นเสีย โดยมี ทาง หรือที่เรียกว่า มรรค 8 เป็นแนวปฏิบัติที่จะทำให้ชีวิตเป็นทุกข์น้อยที่สุด
หัวข้อที่ให้ผมพูดวันนี้ คือ ศิลปะในบริบททางสันติภาพ คำว่า บริบท เป็นภาษาปัญญาชนที่เพิ่งเกิดใหม่ไม่เกิน 10 – 20 ปีนี้เอง คำว่า บริบท หมายถึง สภาพ หรือ สถานการณ์แวดล้อม เช่น บริบททางสังคม บริบททางเศรษฐกิจ บริบททางการเมือง บริบททางศิลปะ ดังนั้น เมื่อให้โจทย์มาว่า บริบททางสันติภาพ จึงขอให้เข้าใจกว้างๆ ว่าหมายถึง สภาพหรือสถานการณ์แวดล้อมของ ‘สันติภาพ’ ที่มีความเกี่ยวข้องกับ ‘ศิลปะ’ หรือบางท่านจะมองว่าเป็นเนื้องานทางศิลปะที่แสดงออกถึง สันติภาวะ ของมนุษย์ในทุกรูปแบบเนื้อหาก็น่าจะได้เช่นกัน
“สันติภาวะ ของมนุษย์ตามคติทางพุทธศาสนานั้น หมายถึงการเข้าใจความจริงว่าชีวิตนั้นเป็นทุกข์ ดังนั้นในชีวิตสั้นๆ ของคนเรา จึงควรเป็นไป เพื่อศีล เพื่อสมาธิ เพื่อปัญญา และเพื่อเห็นว่า ชีวิต นั้น สังคม นั้น ล้วน อนิจจํ (คือไม่แน่นอน) ทุกขํ (คือเป็นทุกข์) และ อนัตตา (คือไม่มีตัวตน) ดังนั้น “สันติภาวะ” ในทางคติพุทธ จึงหมายถึง การยึดมั่นทางสายกลาง ที่ไม่ขึงจนตึงเกินไปด้วย เพราะสายอาจจะขาด และหาค่าอะไรไม่ได้ ดังนั้นจึงต้องขึงให้พอดี (เช่น ไม่เอาทั้ง บุช และ บิน ลาเดน) นอกจากให้ยึดถือ ทางสายกลาง แล้ว คติทางพุทธยังบอกว่า ชีวิตล้วนเป็นไปตาม เหตุปัจจัย (เช่นแรงกดเท่ากับแรงสะท้อน) ซึ่งเข้ากับตรรกะของความคิดแบบวิทยาศาสตร์ ดังนั้นเพื่อให้ปล่อยวาง ปัจฉิมโอวาทของพระพุทธองค์จึงทรงตรัสเป็นภาพรวมรวบยอดครั้งสุดท้ายว่า จงถึงซึ่งความไม่ประมาท ไม่ว่าจะในเรื่องใดก็ตาม
หันมาดูคำว่า ศิลปะ เวลานึกถึงคำๆ นี้ ผมมีข้อสังเกตส่วนตัวว่าบางทีอาจจะมาจากคำว่า ศีล หรือ ศิละ คือหมายถึงวัตรปฏิบัติของคนเรา เช่น ผู้ใดรับศีล ผู้นั้นก็เหมือนรับศิลปะ ผู้ใดรับศีลปะ ผู้นั้นก็เหมือนรับศีล นี่เป็นการกล่าวแบบโวหาร ดังนั้นผมจึงมีความเห็นว่า สันติภาวะในมนุษย์ ก็น่าจะหมายถึง สันติภาวะในศิลปะ ด้วย เพราะ “ภาวะในงานศิลปะ” หรือ บริบททางศิลปะ ในแง่มุมกว้างๆ ไม่ว่าจะเป็นสาขาใด แขนงใด ผมคิดว่ามันเป็นเหมือนภาวะของการก่อเกิด เป็นภาวะแห่งการสร้างมากกว่าการทำลาย เปรียบตามคติทางฮินดูก็คือ ศิลปินนั้นน่าจะเป็นเหมือน พระพรหม คือเป็นผู้สร้าง มากกว่าเหมือน พระศิวะ ซึ่งคือผู้ทำลาย หรือบางทีถ้าหากต้องการเล่นบทสมานฉันท์ ก็ต้องเป็น พระนารายณ์ เพราะพระนารายณ์คือผู้ซ่อมแซม
บริบทต่างๆ ของคำว่า ศิลปะ จึงเป็นบริบทของการ เดินไปก่อนข้างหน้าหนึ่งก้าว ชิ้นงานทางศิลปะที่เดินไปก่อนข้างหน้าหนึ่งก้าว ไม่ว่าประเภทใด แขนงใด ถ้าหากมันมีอำนาจของมันจริง อำนาจของมันก็เป็นเหมือน ตัวหลอมละลาย ที่ศัพท์ทางการละครของกรีกเรียกว่า Catalyst คือคำว่า ‘ศิลปะ’นั้นจะเป็นตัว จุดประกายการหยั่งเห็น ที่ก่อให้เกิดการกระเพื่อมบางอย่างในอารมณ์และความรู้สึกนึกคิดของมนุษย์ งานศิลปะที่มีอำนาจจะทำหน้าที่เป็นเหมือน ตัวเชื่อม หรือ ตัวช่วย ให้เกิด สันติภาวะ ในบางสิ่งบางอย่าง คือ เขยิบภาวะข้างในของมนุษย์ให้เรียนรู้จักตัวเอง บริบทของ ศิลปะ จึงไปทางเดียวกันกับบริบทของ สันติภาพ และภาพกว้างๆ ของ ศิลปะ เท่าที่ผมพอมีประสบการณ์อยู่บ้าง ก็คือ มันมักทำหน้าที่ตั้งคำถามมากกว่าหาคำตอบ และคำถามหนึ่งของ ศิลปะ ที่เป็นเนื้อหาสอดแทรกมาทุกยุคทุกสมัย ก็คือเรื่องสันติภาวะของมนุษย์ในแง่มุมต่างๆ ที่กระตุ้นให้เกิดความเชื่อมโยงกับบางสิ่งบางอย่าง หรือที่ศัพท์วรรณกรรมเรียกว่า เกิด นัยประหวัด เช่น ดูภาพ Guernica ของปิกัสโซ แล้วรู้สึกนึกเห็นความโหดร้ายของสงคราม อ่าน แนวรบด้านตะวันตกเหตุการณ์ไม่เปลี่ยนแปลง ของ เอริค มาเรีย เรอมาร์ค แล้วเห็นอารมณ์ต่อต้านสงครามผ่านทางตัวละคร ดูภาพ The Dance ของ อองรี มาติสส์ แล้วเกิดความรู้สึกรื่นรมย์อย่างประหลาด เหมือนเช่นเดียวกับภาพ Waterlilies ในสวนน้ำของ โมเน่ต์ หรืออ่าน The Old Man and the Sea ของเฮมมิงเวย์แล้ว คงมีผู้อ่านจำนวนไม่น้อยที่รู้สึกนึกเห็นไปถึงความยิ่งใหญ่ของมนุษย์ตัวเล็กๆ ที่ไม่ยอมแพ้
ดังนั้น บริบทของ ศิลปะ จึงเกี่ยวข้องกับบริบทของ ชีวิต อย่างหลีกไม่ได้ เพราะมันหมายถึงเนื้องานต่างๆ ที่เราเรียกว่า ธรรมะ หรือ ธรรมชาติ ของสรรพสิ่งที่เรียกว่า เกิด แก่ เจ็บ ตาย และรัก โลภ โกรธ หลง
ประมาณ 3000 ปีที่ผ่านมา การสร้างงานศิลปะของมนุษย์ไม่ว่าจะยุคสมัยไหน ว่าไปก็เป็นแง่มุมที่วนเวียนอยู่กับการสร้าง ตัวช่วย และ ตัวเชื่อม ให้มนุษย์นั้นแตกต่างไปจากสัตว์ กล่าวคือ ช่วยยกระดับจิตใจให้มนุษย์ไปพ้นจากสัญชาติญาณดิบเถื่อนแบบสัตว์ จนต่อมาก่อเกิดสิ่งที่เรียกว่า ชีวิตทางวัฒนธรรม ขึ้นในชุมชนของตน โดยแต่ครั้งยุคโบราณนั้นมีศรัทธาของชุมชนเป็นตัวนำ ส่วนในปัจจุบันมีวาทกรรมชุดต่างๆ ของปัจเจกเป็นตัวนำ
กล่าวสรุป..
สันติภาพ เป็นสิ่งที่ตรงข้ามโดยสิ้นเชิงกับ สงคราม สันติภาวะที่เป็นภาวะปลอดจากสงคราม ว่าไปก็หาใช่จะปลอดจากสงครามอย่างแท้จริงไม่ เพราะ สงคราม ในปัจจุบันนั้นอาจไม่ใช่การถืออาวุธเข้าห้ำหั่นกันใน สนามรบ อย่างที่เข้าใจกันมาแต่เดิม สงคราม ในปัจจุบัน อาจตีความหมายถึงความรุนแรงในทุกรูปแบบเนื้อหาที่มนุษย์ยังคงทำต่อมนุษย์ด้วยกัน ทั้งในเชิงโครงสร้างและในเชิงปัจเจก ดังนั้น “สภาพ”หรือ “สถานการณ์แวดล้อม” ที่เรียกว่า บริบท จึงหมายรวมไปถึง ความไม่เป็นธรรม ความเหลื่อมล้ำต่ำสูง และ ความแปลกแยก ในทุกรูปแบบเนื้อหาด้วย กล่าวคือตราบใดที่มนุษย์ยังไม่สามารถดำรงสิ่งที่ กุหลาบ สายประดิษฐ์เรียกว่า มนุษยภาพ เอาไว้ให้ได้ ตราบนั้นมนุษย์ก็ยังไม่บรรลุถึงความเป็นมนุษย์อย่างแท้จริง
กุหลาบ สายประดิษฐ์เคยเขียนไว้ในชิ้นงานเรื่อง มนุษยภาพ เมื่อ 74 ปีก่อน ในหัวข้อว่าด้วย “ความสงบ” ผมอยากขอยกมาอ่านให้ฟัง ดังนี้
“บุคคลผู้มีอำนาจอันประกอบด้วยชาติตระกูล ด้วยยศศักดิ์ หรือด้วยเงินก็ตาม มักพอใจปั่นให้คนทั้งหลายหลงด้วยวาจาอันไพเราะ เขาทำดังนั้นเพราะประโยชน์ของใคร ข้าพเจ้าไม่อยากตอบ..
“อำนาจบันดาลความนิยม นี่เป็นความจริงมาแล้วแต่บรรพกาล ยังเป็นอยู่ในปัจจุบันสมัย และยังจะเป็นต่อไปอีกจนกว่าโลกแตก แต่ท่านผู้อ่านพึงระลึกไว้ว่า สิ่งอันปรุงแต่งอำนาจขึ้นนั้นไม่คงที่ ย่อมหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไปตามกาลสมัย..
“ การไม่สู้หน้ากับความจริง คือบ่อเกิดของความไม่สงบสุข ความจริงกับความสงบเป็นของคู่กัน แม้ในทางพุทธศาสนาก็สอนให้มนุษย์สู้หน้ากับความเป็นจริง ให้เชื่อด้วยมีใจศรัทธา มิใช่ให้เชื่อด้วยความงมงาย หรือหลอกลวง หรือข่มขี่ บังคับ โกหกตอแหล..นี่เป็นบ่อเกิดของความปั่นป่วนจลาจล และนำความเดือดร้อนมาสู่มนุษยชาติ”
สิ่งที่กุหลาบ สายประดิษฐ์เรียกว่า ความจริงคือความสงบ นี้ ต่อมาในปี พ.ศ.2493 กุหลาบ สายประดิษฐ์ ได้แปรสภาพให้มันเป็นรูปธรรมมากขึ้น โดยก่อตั้ง ‘คณะกรรมการสันติภาพแห่งประเทศไทย’เพื่อประกาศเรียกร้องหาสันติภาพ ให้มนุษย์ปลอดจากความหิวโหยและโรคภัยไข้เจ็บ รวมทั้งมีเป้าหมายคัดค้านสงครามนิวเคลียร์และสงครามเกาหลีในเวลานั้น จนต่อมาได้นำไปสู่การถูกอำนาจรัฐในสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม จับกุมคุมขังเจ้าของความคิดดังกล่าวในปี 2495 ดังที่เรียกกันในยุคนั้นว่า กบฎสันติภาพ
ท่านที่เคารพ ไม่น่าเชื่อว่าคำว่า สันติภาพ หรือ สันติชน ซึ่งมีความหมายในทางบวก จะมาเกี่ยวข้องกับคำว่า กบฎ ซึ่งมีความหมายในทางลบ แต่ด้วยบทบาทของความเป็นนักคิด นักเขียน และเป็นศิลปิน ในจิตวิญญาณแห่งความรักสันติ กุหลาบ สายประดิษฐ์ จึงได้เดินไปข้างหน้าก่อนหนึ่งก้าว เหมือนกับงานเขียนและงานสร้างภาพยนตร์เรื่อง พระเจ้าช้างเผือก ของ ปรีดี พนมยงค์ เมื่อ พ.ศ.2483 ที่ถือเสมือนเป็นการก้าวไปก่อนข้างหน้าหนึ่งก้าว เพื่อเตือนสติให้รัฐบาลจอมพล ป.ในยุคนั้นวางตัวเป็นกลาง ไม่ยุ่งเกี่ยวกับคู่กรณีทั้งสองฝ่าย เพื่อจะได้ไม่ตกอยู่ในหลุมพรางของคำว่า “สงคราม” บริบททางสันติภาพในงานศิลปะของบคคลทั้งสองจึงมาก่อนการยอมรับของผู้มีอำนาจหรือของสังคมไทยในยุคนั้นหนึ่งก้าว
ผู้ทำงานสร้างศิลปะในทุกเนื้องาน ไม่ว่าท่านจะสร้างงานศิลปะในสาขาใดก็ตาม หากท่านมี สันติภาวะ เป็นบริบทอยู่ในจิตวิญญาณ พวกท่านทั้งหลายก็คือผู้ที่กุหลาบ สายประดิษฐ์เรียกว่า ผู้มีการกระทำอันทรงศักดิ์และเป็นมงคลแท้จริง
โลกร่วมสมัย หรือที่เรียกว่า โลกหลังสมัยใหม่ อย่างที่เห็นและเป็นอยู่ในปัจจุบันนั้น ว่าไปแล้วก็หาได้ “ปลอดจากภาวะสงคราม” แต่อย่างใดไม่ เพราะคำว่า สงคราม ในรูปแบบใหม่ได้ทวีความรุนแรงซับซ้อนในชีวิตปัจจุบันมากขึ้นทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยมีต้นกำเนิดของความซับซ้อนมาจากการเปลี่ยนผ่านสังคมเกษตรเป็นสังคมอุตสาหกรรม การเปลี่ยนวิถีชีวิตชนบทมาเป็นวิถีชีวิตเมือง จากเมืองเล็กกลายเป็นเมืองใหญ่ และจากเมืองใหญ่กลายเป็นเมืองที่ “กินตัวเอง”ใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ โดยมีตัวร่วมเน้นไปที่การพัฒนาเทคโนโลยี่เพื่อรับใช้ลัทธิอุตสาหกรรม “ทุนนิยม” ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นบ่อเกิดแห่งความชั่วร้ายส่วนหนึ่งของลัทธิจักรวรรดินิยม และก่อให้เกิดสงครามเต็มรูปแบบ เช่นสงครามโลกครั้งที่ 1 และสงครามโลกครั้งที่ 2 แม้ว่าสงครามโลกทั้งสองจะสงบลงแล้ว แต่สงครามในรูปแบบอื่น เช่น “สงครามตัวแทน”ในยุคสงครามเย็น และสงครามเชิงสัญลักษณ์ หลังเหตุการณ์วันที่ 11 กันยายน ก็ยังคงสร้างความพินาศย่อยยับให้กับมนุษยชาติอย่างต่อเนื่อง ที่กล่าวกันว่า “สงครามยังไม่สิ้น”นั้น ยังคงเป็นเรื่องจริง และทำให้ บริบททางสันติภาพ ในโลกร่วมสมัย-หลังสมัยใหม่ มีความสลับซับซ้อนมากขึ้น คำว่า “เหยื่อรายสุดท้าย”นั้นหามีไม่ แต่มีคำว่า “เหยื่อรายต่อไป”มากกว่า เพราะ สงคราม ที่ซ่อนตัวอยู่ในภาวะและเงื่อนไขต่างๆ ล้วนมีความลื่นไหลมากขึ้น สงครามยุคใหม่นั้นสามารถฆ่ากันได้โดยไม่ต้องใช้วิธียกกองทัพมารบกันเหมือนสมัยก่อน สงครามแบบใหม่ เช่นสงครามเศรษฐกิจ และสงครามวัฒนธรรม แม้บ้านเมืองจะอยู่ในภาวะแห่งความสงบ แต่มนุษย์ก็ยังคงแสดงความรุนแรงต่อมนุษย์ด้วยกันทั้งในรูปแบบซึ่งหน้าและในรูปแบบแอบซ่อน ความรุนแรงนั้นมีปรากฏให้เราเห็นเสมอ ตั้งแต่เรื่องบนเตียงจนถึงเรื่องในตลาดหุ้น สงครามในความหมายเชิงการเมือง – เศรษฐกิจ ปัจจุบันดูเหมือนได้ไหลลื่นกลายมาเป็นสงครามในเชิงสังคม – วัฒนธรรมมากขึ้น
คำว่า พัฒนา ในโลกสมัยใหม่ที่มีระบบอุตสาหกรรมเป็นแกนใหญ่ มีระดับต่างๆ ของมันหลายแบบ และแต่ละแบบมักทำให้ผู้คนตกอยู่ในภาวะแปลกแยกแบบไม่ต้องประกาศ ผู้คนในโลกยุคใหม่ตกอยู่ในภาวะ people at war ในหลายรูปแบบ ตั้งแต่อดอาหารตายในแอฟริกา อุบัติเหตุตายบนถนนในเทศกาลสงกรานต์ กินอาหารเป็นพิษทำให้เกิดโรคอ้วน การเผาขยะ
พลาสติกทำให้โลกร้อนขึ้น แม่น้ำลำคลองแทนที่จะใสกลับเน่าเสีย อากาศหายใจแทนที่จะบริสุทธิ์กลับเต็มไปด้วยฝุ่นพิษ ผู้คนบริโภคมากขึ้น ขยะก็เพิ่มมากขึ้น พืชพันธุ์ไม้และสัตว์บางชนิดเริ่มสูญหายเพราะสิ่งแวดล้อมถูกทำลาย เกิดการแย่งชิงทรัพยากรธรรมชาติในรูปแบบต่างๆ และเกิดปัญหาเชิงสังคมวัฒนธรรมร้อยแปด เช่นการค้ามนุษย์ ยาเสพติด เอดส์ โสเภณีเด็ก และโรคระบาดใหม่ๆ ที่เป็นผลมาจากการอพยพโยกย้ายแรงงาน ความโลภและความหลงของมนุษย์ได้ทำให้คำว่า “พัฒนา”มีความหมายในแง่ลบ และแอบซ่อนตัวซับซ้อนมากขึ้น อาจกล่าวได้ว่า ยังไม่มียุคไหนในอดีตที่มนุษย์จะตกอยู่ในภาวะ people at war ได้รุนแรงมากขึ้นเหมือนอย่างในยุคนี้ การใช้วิธี ระเบิดพลีชีพ ดูเหมือนจะกลายเป็น “ภาวะเชิงสัญลักษณ์”ที่ทำให้ความรุนแรงมิได้จำกัดพื้นที่อีกต่อไป คนบริสุทธิ์สามารถตกเป็นเหยื่อได้อย่างไม่จำกัดของเขต คำว่า “สนามรบ”จึงมีนัยยะไม่จำกัดทั้งพื้นที่และเวลา และ “สนามรบ”ที่มีความรุนแรงแอบแฝงอยู่ในโลกยุคใหม่เหล่านี้มีถี่ขึ้น่โดยมิได้จำกัดขอบเขตอยู่เฉพาะมนุษย์กับมนุษย์เท่านั้น แต่มนุษย์กับธรรมชาติก็เริ่มมีปัญหาในแง่ดุลยภาพมากขึ้น ปรากฏการณ์ธรรมชาติหลายอย่างที่เกิดขึ้นในช่วงก่อนสิ้นศตวรรษที่ 20 ดูเหมือนเป็นการโต้กลับ หรือฟ้องให้เห็นบางสิ่งบางอย่างว่า โลกของเราในยุคศตวรรษที่ 21 นั้นได้เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ และคำว่า ศิลปะ ที่ในอดีตเป็นภาษาทางจิตวิญญาณก็ได้เปลี่ยน วิถี และ วิธี เป็นภาษาแบบใหม่มากขึ้น เช่นภาษาการตลาดและภาษาอุตสาหกรรมบันเทิง “ศิลปะ”ในยุคหลังสมัยใหม่ได้ถูกตีความให้มีความหมายอย่างไรก็ได้ เพราะเหมือนของเหลวที่แปรเปลี่ยนรูปทรงไปตามภาชนะที่ดำรงอยู่ คำว่า “ศิลปะร่วมสมัย”ในปัจจุบันว่าไปก็เหมือน“ร่างทรง”ของความแปลกแยกใหม่ๆที่ถูกกำหนดขึ้นโดยวาทกรรมร้อยพ่อพันแม่ ศิลปะกับชีวิตแทนที่จะสมดุลและเดินไปพร้อมกัน ปัจจุบันดูเหมือนจะแยกออกจากกัน และโดดเดี่ยวตัวเองไปตามรสนิยมแบบตัวใครตัวมัน คำว่า ศิลปะ กลายเป็นเพียงสินค้าในโชว์รูมประเภทหนึ่งที่ผลิตวาทกรรมเฉพาะตนขึ้นมารับรู้กันในหมู่คนพวกเดียวกันและ กลายเป็นเหมือนตัวแทนของสิ่งที่เรียกว่า อุตสาหกรรมบันเทิง พระเจ้าองค์ใหม่ของคำว่า ศิลปะ หาได้สถิตอยู่ในหอศิลป์ หรือพิพิธภัณฑ์ในรูปแบบเก่าอีกต่อไป แต่กลับไปอยู่ที่จอโทรทัศน์ และสื่อวัฒนธรรมแบบอีเล็คโทรนิค บางที ขยะ อาจกลายเป็น ศิลปะ ในอีกรูปแบบหนึ่งก็ได้ ศิลปะไม่ใช่ความศักดิ์สิทธิ์หรือความศรัทธาอย่างที่เชื่อกันอีกต่อไป แต่เป็นวาทกรรมที่ผลิตขึ้นเพื่อใช้แบบ “แดกด่วน”สนองความโลภ ความโกรธ ความหลง และแยกตัวเองออกจากวิถีชีวิตสามัญของผู้คน
ในงานเขียนเรื่อง ต้นไม้สายใยชีวิต ที่แปลมาจากเรื่อง The Living Tree ของ จอห์น เลน จอห์น เลน ได้กล่าวถึง สันติภาวะ ว่าเป็น “ภาษาทางจิตวิญญาณ” และ ศิลปะ คือสิ่งที่จุดประกายการหยั่งเห็นของมนุษย์ โดยเขาให้ความสำคัญว่า ศิลปะ นั้น ต้อง เป็นเหมือนต้นไม้ที่แผ่กิ่งก้านออกไปสร้างความสมดุลให้ชีวิต และศิลปะจะทำอย่างนั้นได้ก็ต้องกลับไปหา รากเหง้าเดิม ที่ถูกทอดทิ้ง กลับไปหาความศักดิ์สิทธิ์ของศิลปะ กลับไปหาสุนทรียธรรมของศิลปะ บริบททางสันติภาพในงานศิลปะ ถ้าจะมีมูลค่าจริง จอห์น เลน มีความเห็นว่าเพราะเราจะช่วยกันปรับระดับจิตวิญญาณของมนุษย์ให้เข้าสู่ สุนทรียธรรม ศิลปะนั้นเป็นเหมือนการจุดประกายให้หยั่งเห็นความดี ความงามและความจริง จิตรกรตามแนวทางที่จอห์น เลนยกตัวอย่างก็มี เช่น วิลเลียม เบรค, วินเซนต์ แวนโกะห์, อองรี มาติสส์, เซซิล คอลลินฯลฯ ตรงข้ามกับจิตรกรอย่างฟรานซิส เบคอน และ แอนดี้ วอห์ฮอ ที่ก็เป็นตัวอย่างเหมือนกัน แต่เป็นตัวอย่างที่สะท้อนให้เห็นว่าโลกปัจจุบันขาดความสมดุล เช่นภาพเขียนของ ฟรานซิส เบคอน สะท้อนให้เห็นความรุนแรงที่มนุษย์กระทำต่อมนุษย์ และภาพเขียนของ แอนดี้ วอห์ฮอ ก็สะท้อนอุตสาหกรรมบันเทิงในโลกวัฒนธรรมป๊อบที่ทุกอย่าง “มาไว ไปไว” เหมือนบะหมี่สำเร็จรูป
ศิลปะในบริบททางสันติภาพ ถ้าหากยังมีอยู่จริง จอห์น เลนกล่าวว่ามันควรเป็นเหมือน “เจตจำนงศักดิ์สิทธิ” ที่คนทำงานศิลปะเสนอตัวเป็น “สื่อของความงาม” แม้ความงามจะพูดถึงความน่าเกลียดก็ไม่เป็นไร แต่โลกยุคหลังสมัยใหม่ “ความงาม” มักถูกตีความด้วยวาทกรรมร้อยแปด ที่แม้แต่ “ขี้หมา”กองเดียวก็ถูกรื้อสร้างให้เห็นเป็น “ทองคำ”ได้ ศิลปะในบริบทของโลกหลังสมัยใหม่ จึงไม่เชื่อเหมือนที่ดอสโตเยฟสกี้เชื่ออีกต่อไป คือไม่เชื่อว่า มนุษย์จะรอดด้วยความงาม และไม่เชื่อว่า ศิลปะกับชีวิตรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน คือมนุษย์กับพระผู้เป็นเจ้า เหมือนที่ตอลสตอยเคยเขียนไว้ในหนังสือ What is Art? ด้วย
ปัญหาก็คือ ศิลปิน หรือผู้ทำงานศิลปะในทุกวันนี้เชื่ออะไร พวกเขายังเชื่อว่า จินตนาการสร้างสรรค์มีส่วนสำคัญในการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ของผู้คน เหมือนอย่างที่จอห์น เลน กล่าวไว้หรือเปล่า พวกเขายังเชื่อว่ามนุษย์กำลังแสวงหาสิ่งใหม่เพื่อเป็นทางเลือกใหม่แทนลัทธิบริโภคนิยมและลัทธิอุตสาหกรรมบันเทิงจริงหรือไม่ ตราบใดถ้าคนทำงานศิลปะยังเชื่อในสุนทรียธรรม ว่าเป็นการเรียกหาความสมดุลที่ขาดหาย และเห็นว่าความงามที่กระตุ้นประกายการหยั่งเห็นของมนุษย์นั้นยังมีอยู่จริง ตราบนั้นศิลปะกับชีวิตก็สามารถจะหลอมรวมเข้าหากันได้โดยไม่แปลกแยกต่อกัน เมื่อนั้น ศิลปะก็จะไม่ล้มเหลว ไม่เป็น art-failure อย่างที่เห็นและเป็นอยู่ในสังคมร่วมสมัย
บริบททาง “สันติภาวะ”กับงานศิลปะนั้น ถ้ามีอยู่จริงมันก็มีแง่มุมของมันได้ตั้งแต่เรื่องส่วนตัวไปจนถึงเรื่องส่วนรวม และเกี่ยวข้องไปได้ทุกเรื่องโดยไม่จำกัดว่าจะต้องเป็นเนื้อหาทางการเมืองเพียงอย่างเดียว กระนั้นศิลปะในบริบททางสันติภาพก็มักเกี่ยวข้องกับเนื้อหาทางสังคมไม่มากก็น้อย เพราะเป็นเหมือนพันธกิจทางสังคม [commitment]ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม คำว่า สันติภาวะ มิได้ลอยอยู่ในความว่างเปล่า แต่มันเป็นเหมือน “หัวเชื้อ”ที่ผู้คนต้องฟันฝ่าออกไปจากความคิดกระแสหลักที่ครอบอยู่ในกรอบ ทุนนิยม -อุตสาหกรรม และ ทุนนิยม อำนาจนิยม
สุนทรียธรรมในชิ้นงานจิตรกรรมที่ จอห์น เลน กล่าวว่าเป็นเหมือนต้นไม้ที่แผ่กิ่งก้านออกไปสร้างความสมดุลให้ชีวิตนั้น ว่าไปแล้วก็หาใช่เนื้อหาประเภท “ชูกำปั้น” หรือ “โชว์อวัยวะเพศ”ไม่ แต่หากเป็นเนื้อหาที่แวนโกะห์เรียกว่า “ความเงียบจากข้างในจะนำไปสู่การกระทำ” ในจดหมายฉบับหนึ่งที่แวนโกะห์เขียนถึงธีโอ น้องชาย มีข้อความประโยคหนึ่งกล่าวว่า “เมื่อคุณต้องการงอกงาม คุณต้องมุดลงไปในผืนดิน”
สันติภาวะทางศิลปะจึงเป็นเหมือนภาวะรู้สึกต่อสรรพสิ่งรอบตัว ที่โลกภายนอกและโลกภายในรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน และในบริบทของงานศิลปะนั้นก็คงเป็นเหมือนที่อองรี มาติสส์ กล่าวว่า “มีเพียงสิ่งเดียวที่สามารถออกคำสั่งให้อารมณ์เป็นไปตามความต้องการได้ คือตัวศิลปินเอง..และบางครั้งศิลปะก็เหมือนเก้าอี้นวม ดีๆซึ่งเป็นที่พักกายจากความเหนื่อยล้า” บางคนไม่เห็นด้วยกับทรรศนะนี้ แต่ผมเห็นด้วย การทำงานศิลปะนั้นน่าจะเป็นเรื่องที่สำคัญได้ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการงานประเภทอื่น คานธีเองก็เคยกล่าวว่า “แม้ในกิจกรรมธรรมดาๆของชีวิต ก็สามารถมีผลต่อเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองไปพร้อมกันได้”
ความสุดโต่งของคนทำงานศิลปะในโลกร่วมสมัย ว่าไปแล้วก็น่าจะแบ่งออกเป็น 2 พวกใหญ่ๆ คือ 1 เห็นว่าการทำงานศิลปะไม่ต้องรับผิดชอบต่อผู้ใด หรือสิ่งใด และ 2 เห็นว่าการทำงานศิลปะควรต้องรับผิดชอบ และมีจิตผูกพันกับสังคม
ศิลปินในทรรศนะประการแรกก็อย่างเช่น เกอ๊อก บาเซลิทซ์ จิตรกรในกลุ่ม Neo-Expressionism ที่ครั้งหนึ่งเคยให้สัมภาษณ์ว่า
“ศิลปินไม่รับผิดชอบต่อผู้ใด บทบาททางสังคมของเขาคือไม่เกี่ยวข้องกับสังคม ไม่สื่อสารใดๆ กับสาธารณะ ศิลปินไม่ตั้งคำถาม ไม่แสดงความเห็น ไม่ให้ข้อมูล ไม่เสนอสาระหรือความเห็น เขาไม่ช่วยใครทั้งนั้น..”
ส่วนศิลปินในทรรศนะประการหลัง ก็มีตัวอย่างในอดีตว่ามาตั้งแต่ตอลสตอย, กามูส์ แซงเต๊ก-ซูแปรี่, เบรคทซ์ ฯลฯ หรือไม่จิตรกรอย่างเช่น ฟรีดา กาโล และดิเอโก้ ริเวร่า เป็นต้น ศิลปะที่แสดง นัยยะผูกพัน กับสังคม ถือเป็น commitment ทางใจบางอย่าง เมื่อคุณเทศนาสิ่งใด คุณก็ควรเชื่อสิ่งนั้น แต่ผมว่าเอาแค่ที่แวนโกะห์กล่าวไว้ก็น่าจะพอแล้ว คือเขาเคยเขียนไว้ในจดหมายฉบับหนึ่งว่า “ไม่มีอะไรเป็นศิลปะอย่างแท้จริง เท่ากับการรักเพื่อนมนุษย์”
“การรักเพื่อนมนุษย์” ผมคิดว่าคือบริบททางสันติภาพที่ยากที่สุด แต่เห็นชัดที่สุด ศิลปะเอาได้แค่นี้ผมว่าก็น่าจะพอแล้ว
อีกประการหนึ่ง ที่เป็นข้อสังเกตของผม ก็คือ
ศิลปะในบริบททางสันติภาพ ไม่ใช่ปัญหาเรื่อง Style และไม่ใช่เรื่องสำนัก School ไหนก็ไม่สำคัญทั้งนั้น เพราะ “สันติภาวะ”เป็นเรื่องสากลของมนุษย์ตามปัจจัยแวดล้อม ดังนั้นบริบททางสันติภาพจึงเป็น แนวคิด วิธีคิด และ วิถีชีวิต ที่เดินไปพร้อมกัน มองไปทางเดียวกัน และสามารถดูได้ทั้งแง่ ปัจเจก และแง่ ขบวนการ Movement
ศิลปะในบริบททางสันติภาพ ของปัจเจกคือ กระบวนทัศน์ ที่หมายถึงแนวคิด วิธีคิด และวิถีชีวิต ซึ่งในแง่ของกลุ่มหรือขบวนการก็น่าจะเป็นแบบเดียวกัน คือมีเป้าหมายมุ่งไปสู่อุดมคติ 3 ประการ ได้แก่ ธรรมะ-ประชาชน-และ-สันติภาพ
หรือจะเรียกเสียใหม่ว่า สันติ-ประชา-ธรรม ก็ได้
สันติประชาธรรม เป็นอุดมคติในระดับปัจเจกและอุดมการณ์ในระดับกลุ่มความคิด ใน กระบวนทัศน์ ระดับปัจเจกนั้น หมายถึงการสร้างคติ ธรรมะเหนืออำนาจ การสร้างเมตตากรุณา การให้อภัย การไม่ตกอยู่ในความโลภ ความโกรธ ความหลง ดังเช่นกษัตริย์เมืองอโยธยา ในเรื่อง พระเจ้าช้างเผือก ที่กล่าวว่า “ฃัยชนะของสันติภาพนั้น มิได้มีชื่อเสียงบรรลือนามน้อยไปกว่าชัยชนะแห่งสงครามแต่ประการใด” และสรุปไว้ในตอนจบของเรื่องว่า “ไม่มีสุขใดเสมอด้วยความสงบสันติ”
ส่วนในแง่ขบวนการ หรือ Movement ในระดับกลุ่มความคิด เราจะเห็นตัวอย่างจากกลุ่มต่างๆ ที่มีเป้าหมายทางสังคมร่วมกัน เช่นกลุ่มต่อต้านสงคราม หรือ “คณะกรรมการสันติภาพสากล” ที่ครั้งหนึ่งในประเทศไทย เคยมี นายกุหลาบ สายประดิษฐ์ เป็นรองประธาน เมื่อ พ.ศ. 2493 หรือจะดูจากการเคลื่อนไหวเพื่อต่อต้านความรุนแรงในรูปแบบต่างๆของ บรรดาเครือข่ายเอ็นจีโอ.ก็น่าจะได้ เช่นการต่อต้านสงคราม การต่อต้านการค้ามนุษย์ การต่อต้านยาเสพติด การต่อต้านความโง่เขลา เช่นการพิทักษ์รักษาธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การต่อสู้กับโรคเอดส์ การเตือนชุมชนให้รู้จักรากเหง้าตัวเอง ฯลฯ ตัวอย่างเหล่านี้ล้วนเป็น Movement ในแง่การเคลื่อนไหวทางสันติภาวะทั้งสิ้น
ศิลปะในบริบททางสันติภาพ ตามทรรศนะของผม จึงเป็นมากกว่า School ทางความคิด และเป็นมากกว่า style ในแง่การทำงาน
บริบททางสันติภาพที่สะท้อนออกมาในงานศิลปะ มีตัวอย่างอยู่ในศิลปะทุกสาขา ไม่ว่าจะเป็น วรรณคดี ภาพเขียน ดนตรี บทละคร ภาพถ่าย ภาพยนตร์ สถาปัตยกรรม ฯลฯ หรือแม้แต่ในเรื่องเชิงวัฒนธรรม เช่นอาหารที่เรากิน หรือภาษาที่เราใช้ในชีวิตประจำวัน สิ่งเหล่านี้ล้วนสะท้อนภาวะบางอย่างให้เราตระหนักว่า เรามีชีวิตอยู่ในชุมชนวัฒนธรรมแบบใด
อย่างไรก็ตาม เมื่อพูดถึงคำว่า “ศิลปะ” เราไม่ควรลืมคำว่า “อิสระ”ด้วย เพราะ “สันติภาวะ”นั้นหมายถึงการยอมรับความแตกต่างในกันและกันด้วย และเป็นการขับเคลื่อนทางสังคม ดังนั้นจึงเป็นเรื่องของความอดทนที่ต้องใช้เวลาบ่มเพาะผมคิดว่างานศิลปะในทุกกระบวนทัศน์และทุกขบวนการเป็นการเคลื่อนไหวทางสังคมมากกว่าความเคลื่อนไหวทางการเมือง เมื่อใครก็ตามเอาการเมืองเข้าจับ ปัญหาก็มักจะเกิดขึ้นแล้วแต่ความตื้นลึกหนาบางของแต่ละคนแต่ละกลุ่ม
ศิลปะควรเป็นการขับเคลื่อนที่ไม่สร้างความแปลกแยกต่อกัน ไม่ฉะนั้นแล้วก็หาใช่การขับเคลื่อนเพื่อ “สันติภาวะ”ไม่ เมื่อเป็นการขับเคลื่อนทางสังคมมากกว่าการเคลื่อนไหวทางการเมือง ดังนั้นจึงต้องกว้างและลึกและต้องใช้เวลา หรือที่ชอบเรียกกันว่า วิสัยทัศน์ นั่นเอง
“สันติภาวะ” ไม่ใช่เรื่อง เฉพาะกิจ เฉพาะยุคสมัย เฉพาะกลุ่ม หรือ เฉพาะโครงการเพื่อหาเงิน แต่ “สันติภาวะ”ควรเป็น วิถีชีวิต และ วิธีคิด ที่ลองผิดลองถูก ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว แต่มีเป้าหมายในแง่ สันติ-ประชา-ธรรม ร่วมกัน จะเท่ทางศิลปะสไตล์ไหนไม่ว่ากัน แต่ควรมี “ประกายการหยั่งเห็น”ร่วมกันบางอย่าง เช่นต่อสู้กับอำนาจนิยมทุกรูปแบบ ต่อสู้เพื่อพิทักษ์สิ่งแวดล้อม ต่อสู้เพื่อรากเหง้าตัวเอง ขณะเดียวกันก็ต้องรู้เท่าทันตัวเอง ดังนั้นขั้นสุดท้ายของ “สันติภาวะ”จึงเป็นเรื่องด้านในมากกว่าด้านนอก
การทำงานศิลปะที่เห็นว่า ศิลปะเป็นตัวเชื่อม ตัวจุดประกาย ให้รู้จักตั้งคำถามนั้นถือเป็นเรื่องการขับเคลื่อนความคิดตลอดชีวิต เมื่อชีวิตหลอมเข้าหาศิลปะ และศิลปะหลอมเข้าหาชีวิต การรู้จักสันติภาวะในตัวเองนั่นแหละที่สำคัญที่สุด ศิลปะในบริบทดังกล่าวจึงเป็นไปเพื่อการเจริญสมาธิภาวนาเหมือนเช่นที่ ท่านพุทธทาส กล่าวว่า “ถ้าชาวโลกมีธรรมะแล้วก็ไม่จำเป็นต้องมีการเมือง” อองรี มาติสส์ เองก็เคยกล่าวว่า “การสร้างสรรค์ต้องใช้ความกล้า” [Creativity takes courage] ส่วน ปอล โกแกง ก็กล่าวไว้ทำนองเดียวกันว่า I shut my eyes in order to see – ฉันหลับตาเพื่อที่จะเห็น
ศิลปะในบริบททางสันติภาพจึงเป็นเรื่องของศิลปะที่มีเป้าหมาย แม้จะมีเป้าหมายหลายระดับต่างกัน แต่ความคิดรวบยอด ก็น่าจะเป็นอย่างที่ ตอลสตอยกล่าวไว้ คือ ศิลปะจักต้องทำลายความรุนแรง และมีก็แต่ศิลปะเท่านั้นที่ทำได้ ชิ้นงานศิลปะที่ทรงอำนาจ เมื่อมันมีชีวิต มันจะมีอำนาจให้ผู้คนรู้จักอธิบายตัวเองโดยไม่ขึ้นต่อเชื้อชาติและกาลเวลา
งานศิลปะที่ทรงคุณค่า ไม่ว่าแขนงใดก็ตาม วรรณกรรม ภาพเขียน ดนตรี บทละคร ภาพถ่าย ภาพยนตร์ และหรือสื่อใหม่ๆที่จะเกิดขึ้นในอนาคต หากชิ้นงานเหล่านั้นมี “ประกายหยั่งเห็น”ไม่ว่าระดับใดก็ตามชิ้นงานของศิลปะเหล่านั้นก็จะมีอำนาจในตัวเอง และหาคำอธิบายของมันได้เองในที่สุด
ศิลปะในบริบททางสันติภาพ เป็นเหมือน Wind beneath your wings คือเป็น ลมใต้ปีก ที่จะช่วยให้คุณติดปีกจินตนาการทั้งเพื่อตัวคุณเอง และคนที่คุณรัก ศิลปะจะเป็น ลมใต้ปีก ที่ช่วยเยียวยาโลกนี้ได้ทันหรือไม่ ผมไม่มีคำตอบ แต่ผมเชื่อว่า ศิลปะ นั้นมีอำนาจจริง และอำนาจของมันจะยังคงอยู่ต่อไป แม้อาจจะลดบทบาทลงไปบ้าง แต่ผมก็ยังเชื่อว่ามันมีจริง
ศิลปะยังไม่ล้มเหลว – ศิลปินยังไม่เป็น Such – artfailure
เรื่องนี้ความมี “สันติภาวะ”ในหมู่พวกเราเท่านั้นที่จะช่วยกันตอบ
เรียบเรียงจากปาฐกถา ศิลปะในบริบททางสันติภาพ ในวาระ “60 ปี สันติภาพไทย สันติภาพโลก” เนื่องในงานแสดงนิทรรศการ ศิลปะกับสันติภาพ
ณ สถาบันปรีดี พนมยงค์ เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ.2548
by Mr Suchart Swasdisri
โดย::สุชาติ สวัสดิ์ศรี
-----------------------------
สุชาติ สวัสดิ์ศรี : ประวัติงานแสดงศิลปะ
เกิด : 24 มิถุนายน 2488 ที่ตำบลท่าเรือ อำเภอท่าเรือ พ่อเป็นหมอเสนารักษ์ แม่เป็นชาวนา
การศึกษา : 2509 ศิลปศาสตร์บัณฑิต (เกียรติยมดี) สาขาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ประสบการณ์ : ครูโรงเรียนราษฎร์ อาจารย์มหาวิทยาลัย นักเขียน บรรณาธิการนิตยสาร บรรณาธิการสำนักพิมพ์
ร่วมก่อตั้งกลุ่มวรรณกรรม ร่วมก่อตั้งกลุ่มละคร ที่ปรึกษากลุ่มกิจกรรมฯ ก่อตั้งรางวัลช่อการะเกด ก่อตั้งสำนักช่างวรรณกรรม ฯลฯ
ประสบการณ์ด้านศิลปะ : ศึกษาศิลปะด้วยตัวเอง
งานแสดงนิทรรศการศิลปะ :
งานแสดงกลุ่ม
2544 - นิทรรศการ ศิลปะกับสังคม : สถาบันปรีดี พนมยงค์
2545 - นิทรรศการ ศิลปะกับสังคม : สถาบันปรีดี พนมยงค์
2546 - นิทรรศการ ศิลปะกับสังคม : สถาบันปรีดี พนมยงค์
2547 - นิทรรศการ ศิลปะกับสังคม : สถาบันปรีดี พนมยงค์
- นิทรรศการ เจ้าชายน้อย(เพื่อคนพิการ) : ภัทราวดีแกลเลอรี, กรุงเทพฯ
- นิทรรศการ "หงา คาราวาน" พบ "สิงห์สนามหลวง" (เพื่อ ’รงค์ วงษ์สวรรค์) : ร้านล็อต, เชียงใหม่
- นิทรรศการ "เพื่อนศิลปิน" : ร้านเจน, กรุงเทพฯ
- นิทรรศการ "JAZZ UP YOUR LIFE" ร่วมกับ “สิเหร่” : ร้านเฮ็มลอก, กรุงเทพฯ
2548 - นิทรรศการ "ศิลปะเกื้อกูลศิลปะ" : สมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย
- นิทรรศการ ศิลปะกับสังคม : สถาบันปรีดี พนมยงค์
นิทรรศการเดี่ยว
2544 - งานติดตั้งจัดวาง นักเขียนเก่าไม่มีวันตาย : สถาบันปรีดี พนมยงค์
2546 - สุชาติโทเปีย [SUCH-ARTOPIA] งานแสดงจิตรกรรมภาคแรก : ห้องศิลปนิทรรศมารศี พิพิธภัณฑ์วังสวนผักกาด
2547 - สุชาติมาเนีย [SUCH-ARTMANIA] งานแสดงจิตรกรรมภาคสอง งานติดตั้งจัดวางและเปิดตัวนวนิยายทัศนศิลป์ [Visual Art Novel] : สถาบันปรีดี พนมยงค์
- ดาวเรืองบินข้ามครรภ์ฟ้า : ร้านหนังสือใต้ดิน กรุงเทพฯ
2548 - สุชาติเฟลเลีย [SUCH-ARTFAILURE] งานแสดงจิตรกรรมภาคสาม : หอศิลป์จามจุรี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
--
ส.ศิวรักษ์ เปิดงานให้ สุชาติ สวัสดิ์ศรี
สุชาติเฟลเลีย : SUCHARTFAILURE
[จิตรกรรมไตรภาค SUCH – ARTFAILURE]
งานแสดงภาพเขียน “ภาคสาม” ของ สุชาติ สวัสดิ์ศรี
สีและขาวดำจำนวน 60 ชิ้น
2 – 28 ธันวาคม 2548
หอศิลป์จามจุรี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย [ชั้น 1 : ห้องนิทรรศการ 1 – 2]
เปิดงาน : วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม เวลา 18.00 น.
“I’d like to introduce myself as the most successful failure.”
“ข้าพเจ้าขอแนะนำตัวเองในฐานะคนล้มเหลวที่พบความสำเร็จอันยิ่งใหญ่”
ประธานเปิดงาน : ส.ศิวรักษ์
สุชาติ สวัสดิ์ศรี : แสดงสด
I’M WORRIED THAT I’M NOT POLITICAL ENOUGH. [HA! HA!]
ข้าพเจ้ากังวลที่ข้าพเจ้าการเมืองไม่เพียงพอ(หุย! ฮา!)
ติดต่อสุชาติ สวัสดิ์ศรี : ตู้ ปณ.1143 ปท.ดอนเมือง กรุงเทพฯ 10211 และ suchart1143@yahoo.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น