ข่าวไทยรัฐออนไลน์:: ข่าวเศรษฐกิจ

วันเสาร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2554

สงครามยกที่หนึ่ง Facebook vs. Google

สงครามยกที่หนึ่ง Facebook vs. Google
โดย ธวัชชัย อนุพงศ์อนันต์
โดย :นิตยสารผู้จัดการ 360องศา 360 องศา มกราคม 2554


ภาพยนตร์เรื่อง Social Network
------------------------------

ทุกครั้งที่มาร์ค ซัคเคอร์ เบิร์ค เจ้าของเรื่องราวในภาพยนตร์เรื่อง Social Network และบุคคลแห่งปีของนิตยสารไทม์ มักจะพูดเสมอเวลาไปปาฐกถาหรือไปแถลงข่าวต่างๆ ต่อสาธารณชนคือ คำว่า Social graph เขามักจะแนะนำ Facebook ต่อหน้าธารกำนัลว่า Facebook ก็เปรียบเสมือนแผนที่ชนิดหนึ่ง แต่เป็นแผนที่ของมวลมนุษยชาติที่มีเป้าหมายที่ไม่สิ้นสุดที่จะเป็นแผนที่ที่ใหญ่ที่สุด ละเอียดที่สุด เข้าใจได้ง่ายมากที่สุด และมีความเที่ยงตรงสูงสุด
Social graph เป็นแผนที่ดิจิตอลที่เชื่อมโยงความสัมพันธ์ของผู้คนในโลกแห่งความเป็นจริง ความสัมพันธ์นั้นเชื่อมโยงคุณไปยังเพื่อนของคุณ, เพื่อนของคุณไปยังเพื่อนของพวกเขา และเชื่อมโยงต่อไปเรื่อยๆ จนในที่สุดเราทั้งหมดก็จะเชื่อมโยงไปสู่พี่เบิร์ด, อั้ม พัชราภา ไปจนถึงจูเลีย โรเบิร์ต และเอมม่า วัตสัน
ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ยังไม่มีบริษัทหรือหน่วยงานองค์กรไหนในโลกที่สามารถสร้างกราฟความสัมพันธ์ที่เข้าใจได้ง่ายเท่าที่ Facebook กำลังทำอยู่ ซึ่งกราฟความสัมพันธ์ที่ว่านี้กำลังสั่นสะเทือนโลกและสร้างรายได้มหาศาลให้กับ Facebook
ก่อนหน้านี้มีความพยายามที่จะสร้างหนทางที่จะทำให้คนทั้งโลกเชื่อมโยงเข้าหากันได้ หนึ่งในวิธีนั้นคือ อีเมล ซึ่งปัจจุบันอีเมลก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของ Accessories ในการใช้ชีวิตของเราไปแล้ว
แต่การก้าวเข้ามาของ Facebook ก็ทำให้บทบาทของอีเมลอาจจะเริ่มลดลงไป ทุกวันนี้ คนหลายร้อยล้านคนทั่วโลกเป็นสมาชิก Facebook นั่นให้ Facebook เริ่มหาหนทางที่จะเข้าถึงข้อมูล ในอีเมลของสมาชิกแต่ละคน และเมื่อสิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูล ในอีเมลถูกยกเลิก ทำให้หลาย คนตัดสินใจยกเลิกอีเมลที่ใช้อยู่ไปด้วย
หลายๆ คนไม่รู้ว่าการเข้าถึงข้อมูลในอีเมลของเรานั้น เป็นช่องทางทำมาหากินช่องทางใหญ่ของ Facebook เลยทีเดียว การเข้าถึงอีเมลมีความสำคัญกับ Facebook อย่างมาก เพราะทำให้ Facebook สามารถสร้างความสัมพันธ์ใหม่ๆ ให้กับสมาชิกแต่ละคน
โดย Facebook จะวิเคราะห์อีเมลทั้งหมดของเราเพื่อมองว่ายังมีใครอีกบ้างในโลกนี้ที่เราน่าจะรู้จักและมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงไปถึง หลายๆ คนก็ยอมจำนนกับความพยายามของ Facebook และรับทุกคนเข้ามาสู่โลกแห่งความสัมพันธ์ของเขา นั่นนำไป สู่สมาชิกใหม่ๆ ที่เพิ่มขึ้นอย่าง ต่อเนื่อง, อีเมลแอดเดรสใหม่ๆ ที่ Facebook จะไปวิเคราะห์ต่อ ซึ่งนำไป สู่สมาชิกใหม่อีกไปเรื่อยๆ จนวันหนึ่งทุกคน ในโลกหรือแม้แต่จักรวาลจะสมัครเป็นสมาชิก Facebook
จริงๆ แล้ว สิ่งที่ Facebook ทำคือ การดูว่าเครือข่ายความสัมพันธ์ของเราในเครือข่ายหนึ่งเป็นอย่างไร จากนั้นก็เอารวมไว้ใน Facebook เท่านั้น สมมุติว่าเรา มีกลุ่มความสัมพันธ์ใน Gmail อยู่ Facebook ก็จะสร้างความสัมพันธ์แบบเดียวกันนั้นขึ้นมาใน Facebook
มองอีกแง่หนึ่ง ก็ทำให้เราสามารถเชื่อมสัมพันธ์กับคนในกลุ่มของเราได้หลาก หลายหนทางมากขึ้น นี่ก็เป็นเหตุผลสำคัญ ที่ทำให้ Facebook ใช้อ้างในการบีบให้เว็บไซต์ต่างๆ อำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้งานเว็บไซต์เหล่านั้นสามารถส่งข้อมูลของพวกเขาไปยังข้อมูลส่วนตัว หรือ Profile ใน Facebook หรือในเครือข่ายสังคมอื่นๆ ได้
แต่ Facebook ก็ไม่ใจใหญ่พอในการที่จะสร้างสมดุลของการแลกเปลี่ยนข้อมูลเหล่านี้ โดยพวกเขาใช้ทั้งวิธีการทางด้านเทคนิคและกฎหมายในการเป็นผู้ตัดสินใจเพียงข้างเดียวว่าข้อมูลใดบ้างที่พวกเขาจะสามารถเอาออกมาได้ และที่ใดที่จะอนุญาตให้พวกเขาเข้าไปเอามาบ้าง
กล่าวคือ Facebook ทำตัวเป็นที่เก็บ social graph โดยข้อมูลของเราจะถูกรีจิสเตอร์เข้าไป แต่มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ค จะเป็นคนอนุมัติว่าจะสามารถออกได้หรือไม่




ฉากหนึ่งจากภาพยนตร์เรื่อง Social Network
--------------------------------



เมื่อปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ทฤษฎีเอาแต่ได้ฝ่ายเดียวของ Facebook ก็ได้ทำให้เกิดกรณีปัญหากับเพื่อนรักเพื่อน แค้นอย่างกูเกิ้ลขึ้นมา ประเด็นนี้กลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตขึ้นมาเมื่อกูเกิ้ลเพิ่มข้อความในข้อตกลงการให้บริการของพวกเขาในการจำกัดการเข้าถึงข้อมูล address book ของ Gmail เพื่อป้องกันการนำข้อมูลเกี่ยวกับการติดต่อของผู้ใช้ไปใช้ประโยชน์ ซึ่งเป็นข้อความที่เรียกได้ว่าเป็นการบีบให้ Facebook โดยเฉพาะว่าให้รู้จักสร้างข้อมูลของตัวเองขึ้นมาบ้าง
ซึ่ง Facebook ก็เห็นว่า พวกเขาไม่อยากจะทำสิ่งเหล่านั้น พวกเขาจึงมองหาหนทางที่จะหลีกหนีข้อตกลงการให้บริการเหล่านั้นของกูเกิ้ลโดยการสร้างเครื่องมือที่สามารถดึงข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ ใน Gmail ผ่านฟีเจอร์ในกูเกิ้ลเองที่ให้ผู้ใช้ สามารถดาวน์โหลดรายชื่อคนติดต่อของพวกเขาเพื่อใช้งานส่วนตัว
กระบวนการเหล่านี้อาจจะดูค่อนข้างยุ่งยาก ยุ่งเหยิงสำหรับ Facebook แต่มันก็เป็นช่องทางที่จะทำให้ Facebook ยังสามารถเข้าถึงขุมทรัพย์ของข้อมูลโดยไม่จำเป็นต้องทำตามข้อกำหนดใหม่ๆ ของกูเกิ้ลโดยตรง
แม้กูเกิ้ลอาจจะมองว่ามันไม่ใช่เรื่อง ฉลาดนักที่จะไปบล็อกฟีเจอร์ที่อนุญาตให้ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลดข้อมูลของพวกเขาสำหรับใช้งานส่วนตัว แต่กูเกิ้ลก็ได้ดำเนินมาตรการชกหมัดเข้าตรงแสกหน้า Facebook โดยพวกเขาได้เพิ่มหน้าที่เตือนผู้ใช้ งาน Gmail ที่จะดาวน์โหลดข้อมูลของพวก เขาไปยัง Facebook ว่าพวกเขาอาจจะกำลังทำสิ่งที่จะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต โดยเตือนทำนองว่า พวกเขาแน่ใจหรือว่าต้องการจะเอาข้อมูลเพื่อนๆ ของตัวเองไปใส่ในระบบที่ไม่ยอมให้ข้อมูลที่ส่งเข้าไปแล้วกลับออกมาได้ และถ้าผู้ใช้ยังคงยืนยัน จะทำสิ่งนี้ กูเกิ้ลก็จะให้พวกเขาย้ำความประสงค์ว่าจะไม่สามารถเอาข้อมูลกลับออกมาได้อีกครั้งหนึ่ง
ประเด็นหลักตรงนี้ก็คือ กูเกิ้ลทำถูกหรือเปล่า
ที่ผ่านมากูเกิ้ลอนุญาตให้ผู้ใช้สามารถเอาข้อมูลส่วนตัวของตัวเองออกไปใช้ที่ไหนก็ได้ พวกเขามีแม้กระทั่งศูนย์กลางในการช่วยผู้ใช้งานผลิตภัณฑ์ของกูเกิ้ลในการเอาข้อมูลเข้าหรือออกได้ที่เรียกว่า Data Liberation Front ซึ่งเว็บไซต์นี้ทำให้ผู้ใช้งานบริการของกูเกิ้ล ไม่ว่าจะเป็น Gmail, Google Calendar, Google Docs, Google Maps, Google Health, Google Reader, Orkut, Blogger รวมถึงอีกหลาก หลายบริการของกูเกิ้ลสามารถเอาข้อมูลเข้าออกได้อย่างง่ายๆ ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงข้อความข้อตกลงการให้บริการที่ห้ามการเอาข้อมูลไปใส่ใน Facebook จึงเป็นเรื่อง ที่น่าคิดว่าเหมาะสมหรือไม่
เพราะถ้ากูเกิ้ลมองว่าผู้ใช้งานควรจะมีสิทธิ์ในการเอาข้อมูลส่วนตัวไปใช้อะไรก็ได้ ก็ควรที่จะเคารพสิทธิ์ของพวกเขาที่จะเอาไปใส่ในที่ที่ไม่ยอมให้เอาข้อมูลออกมาได้ด้วย นี่ยังต้องรวมถึงว่า ทำไมกูเกิ้ลต้องมาห้ามเอาป่านนี้ ทั้งๆ ที่ผ่านมา หลายปีพวกเขาก็ไม่เคยห้ามการเอาข้อมูลไปใส่ใน Facebook
อย่างไรก็ตาม หลายๆ คนก็มองว่า นี่อาจจะเป็นการสกัดไม่ให้ Facebook ก้าวหน้าไปเกินผลิตภัณฑ์ใหม่ทางด้าน social network ของกูเกิ้ลที่จะเป็นคู่แข่งโดยตรงกับ Facebook
ที่สำคัญ Facebook ก้าวหน้าไปไกลเกินกว่าที่กูเกิ้ลจะตามทันได้แล้ว
อย่างไรก็ตาม Mike Vernal วิศวกรของ Facebook มองว่า ประเด็นถกเถียงเรื่องการเอาข้อมูลออกไปใช้ของโปรแกรม social network และอีเมลนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
ใน Gmail อีเมลแอดเดรสของเพื่อนของเราเป็นกรรมสิทธิ์ของเรา เป็นส่วนหนึ่งของแอคเคาน์ของเรา แต่บน Facebook อีเมลแอดเดรสของเพื่อนของเราเป็นของเพื่อนของเรา หมายความว่า แต่ละคนจะมี แต่ลิสต์รายชื่อเพื่อน แต่ไม่ใช่มีข้อมูลของเพื่อน
แต่นี่ก็เป็นเพียงประเด็นที่ Facebook พยายามสร้างความชอบธรรมให้ตัวเองเท่านั้น เพราะถ้ามองจริงๆ แล้ว ข้อมูล อีเมลแอดเดรสบนโปรแกรมอีเมลหรือ social network ก็ล้วนเป็นข้อมูลเดียวกัน Facebook เอาอะไรมาตัดสินว่าใครจะมีสิทธิ์ให้ข้อมูลอะไร เพราะถ้า Facebook เชื่อว่าพวกเขามีสิทธิ์จะเอาข้อมูลจาก Gmail ทำไมเราถึงเอาข้อมูลใดๆ จาก Facebook ไม่ได้บ้าง
และที่ต้องไม่ลืมก็คือ Facebook ยอมให้ผู้ใช้บน Yahoo Mail และ Hotmail สามารถดึงข้อมูลอีเมลแอดเดรสจาก Facebook ไปใช้งานได้ หรือกล่าวได้ว่า Facebook ยอมให้ใครก็ได้ดึงข้อมูลไปใช้งานตราบใดที่คนคนนั้นไม่ดึงไปให้ Gmail




มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก
-------------------

นอกจากนี้ แม้ Facebook จะยอม ให้ผู้ใช้งานสามารถเอาลิสต์รายชื่อเพื่อนออกไปได้ ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่พวกเขาเพิ่งใส่เข้าไปในเดือนตุลาคมปีกลายที่ทำให้เราสามารถเก็บสำรองข้อมูลที่เราโพสต์เข้าไป รูปภาพ รวมถึงข้อมูลต่างๆ ใน Facebook ในกรณีที่เราต้องการจะลบข้อมูลจากเว็บ ทิ้งไป แต่ฟีเจอร์นี้ก็ไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นการนำเอาข้อมูลออกมาอย่างแท้จริง เพราะข้อมูลที่ดาวน์โหลดมาจาก Facebook นั้นเป็นเพียงข้อความเปล่าๆ โดยไม่มีข้อมูลอีเมลแอดเดรส รวมถึงไม่สามารถลิงค์ไปหา profile ของพวกเขาบน Facebook ได้ด้วย นั่นหมายถึงเป็นการป้องกันการนำเอาข้อมูลของ Facebook ไปใช้ในการสร้างเครือข่ายใหม่ขึ้นมาบนโปรแกรม social network อื่นๆ ได้
อย่างไรก็ตาม ถ้าวันหนึ่ง Facebook มีสมาชิกที่ยังคงใช้งานอยู่มากมายเป็นพันๆ ล้านคนทั่วโลก พวกเขาอาจจะขี้เกียจที่จะไปกันโน่นกันนี่
แต่เราจะรอให้ถึงวันนั้นจริงๆ หรือ
หรือเราควรจะออกมาปกป้องสิทธิของพวกเราบนอินเทอร์เน็ตกันบ้าง
ลองคิดดูนะครับ
Quote:
อ่านเพิ่มเติม:
1. Data Liberation Front, http://www.dataliberation.org/
2. Manjoo, F. (2010), ‘What’s Mine Isn’t Yours: The Facebook-Google spat over who controls your data,’ http://www.slate.com/id/2274583/
3. Manjoo, F. (2009), ‘You have no friends: Everyone else is on Facebook. Why aren’t you?,’ http://www.slate.com/id/2208678/
4. Kincaid, J. (2010), ‘Google to Facebook: You can’t import our user data without Reciprocity,’ http://techcrunch.com/2010/11/04/facebook-google-contacts/
5. Arrington, M. (2010), ‘Facebook finds a new way to liberate your Gmail contact data,’ http://techcrunch.com/2010/11/08/facebook-finds-a-new-way-to-liberate-your-gmail-contact-data/
6. Arrington, M. (2010), ‘Facebook/Google slap flight: Openness doesn’t men being open when it’s convenient,’ http://techcrunch.com/2010/11/09/facebook-slaps-google-openness-doesnt-mean-being-open-when-its-convenient/
7. Sullivan, D. (2010), ‘Facebook: You’ve no right to export email addresses (unless it’s to Yahoo & Microsoft),’ http://searchengine-land.com/facebook-you-have-no-right-to-export-email-addresses-55247

12 ลัทธิต่างๆ ในโลกของศิลปะที่มีอิทธิพลต่อโลกการเมือง

ผลงานของเดวิด LA SERMENT DES HORACES
1. ลัทธินีโอคลาสสิค (Neo-Classic)(ค.ศ.1800) ลัทธินี้ ศิลปินเกิดหวนกลับไปมีค่านิยมการ

สร้างผลงานแบบกรีกและโรมันอีกครั้ง   ซึ่งศิลปินเหล่านี้ชอบความเรียบร้อยและเคร่งครัดใน

ศิลปะแบบโบราณ  ลักษณะผลงานของลัทธินีโอคลาสสิค คือ มักเป็นภาพที่มีระยะใกล้ กลาง

ไกล หรือที่เรียกว่า
Perspective
   ฉากหลังรูปวาดส่วนใหญ่มักมีอาคาร หรือ เสา ของกรีกหรือ

โรมัน  มัก ใช้สีมืดๆเป็นระยะ  เน้นหนักไปทางสีน้ำตาล ดำ เขียวและขาว   ศิลปะแบบนีโอ

คลาสสิครุ่งเรืองอยู่ได้เพราะได้รับการส่งเสริมจากระบอบ ปฏิวัติของพระเจ้านโปเลียน  

พวกที่ปฏิวัติเองก็ชอบส่งเสริมให้มีการดำรงชีพที่เคร่งครัดแบบกรี กและโรมัน  ศิลปินที่มีชื่อ

เสียงคือ เดวิด
(David)(ค.ศ. 1748
1825)  เป็นศิลปินชาวฝรั่งเศส  ผลงานของเขามักเป็นการ

วาดภาพที่แสดงถึงความกล้าหาญของวีรบุรุษ   เช่น 
LE  SERMENT  DES  HORACES ,

LA MORTDE   MARAT  
คนต่อมาคือ แองก์(Ingres) (ค.ศ.1780-1867)
ผลงานของเขาเป็น

แบบคลาสสิคเต็มที่  เขามักวาดภาพคนที่ร่ำรวย หน้าตาโหดเ***้ยมและพอใจในอำนาจเงิน 

และภาพวาดหญิงสาวเปลือยของเขานั้นสวยงามมาก    และแองก์ยังได้วาดภาพเกี่ยวกับ

เทพนิยายโบราณอีกด้วย


2. ลัทธิโรแมนติค (Romantic)(เกิดเมื่อ ค.ศ.1820)  ลัทธินี้ เกิดจากศิลปินมีความเบื่อหน่าย

ความจริงแบบสมัยกรีก โรมัน หรือ ศิลปะแบบคลาสสิค    ศิลปินในกลุ่มนี้จึงชอบสร้างผล

งานที่ยึดถือเป็นแนวปฏิบัติตามกันอยู่ ในคติที่ว่า  ผลงานที่ดีจะต้องมีองค์ประกอบดังต่อไปนี้  

คือ เลิกใช้ภาพแบบประวัติหรือเทพนิยายกรีกแบบโบราณ  รูปที่วาดจะมีคุณค่าได้จะต้อง

เหมือนเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น หรือ เป็นเรื่องตื่นเต้น  และรูปวาดนั้นจะต้องเป็นเรื่อง

เหตุการณ์ในยุคกลาง   ชอบ แสดงความรู้สึกรุนแรงยุ่งเหยิง  ศิลปินที่มีชื่อเสียง เช่น  เจริโคท์

(Gericault)(ค.ศ.1719 - 1824) เป็นศิลปินที่ชอบสร้างสรรค์ผลงานที่น่ากลัว และตื่นเต้น

ผลงานที่มีชื่อเสียง เช่น แพเมดูซา   ภาพ หญิงชายชาวอัสจิเรีย   ภาพม้ากำลังเผ่นผงาด  

ศิลปิน คนต่อมา คือ เดราคัว(Deracroux) ผลงาน ที่มีชื่อเสียงของเขา   เช่น  ภาพโชแปง

ซึ่งเป็นนักดนตรีชื่อดัง    ภาพการประหารชีวิตที่แสดงถึงความเ***้ยมโหด  

ศิลปิน อีกคน คือ โกย่า(Goya) (ค.ศ. 1746 - 1828) เป็นศิลปินชาวสเปน 

ที่มีผลงานเป็นภาพวาดประเภทน่าเกลียด น่ากลัว แสดงถึงความทรมาน   ผลงานที่มีชื่อเสียง

เช่น  ภาพการประหารกบฏสเปน  โดยพวกฝรั่งเศส  ภาพคนบ้า 

หญิงชราที่น่าเกลียดน่ากลัว  ภาพการฆ่าฟันในสงคราม  ภาพการแทงวัวกระทิง  ภาพมายาแต่งกายและภาพมายาเปลือยกาย


3. ลัทธิเรียลลิสม์
(Realism)(เกิดเมื่อปี ค.ศ. 1850) ลัทธิ นี้ ศิลปินจะยึดในหลักความเป็น

จริงหรือการแสดงความจริง
ซึ่ง ก้าวสู่ความก้าว หน้าของวิทยาศาสตร์ โดยศิลปินมักจะสร้างสรรค์ผลงานออกมาเป็น

ลักษณะเดียว กัน
เช่น ชอบวาดภาพคคนจนๆ คนชั้นต่ำ มีการเยาะเย้ยหรือล้อสังคมของคน

ชั้นกลางที่ร่ำ รวย
และ ศิลปินเกือบทุกคนมีสัญชาติฝรั่งเศส ศิลปินที่มีชื่อเสียง เช่น

โดเม
(DAUMEI)
(ค.ศ. 1808 - 1897) เป็น ศิลปินที่มีภาพวาดเป็นที่โดดเด่นและมี

ประชาชนสนใจเป็นจำนวนมาก
ทำ ให้ประชาชน มองเห็นอำนาจป่าเถื่อนกดขี่ของทหาร

หรือตำรวจในเครื่องแบบ
ชี้ ให้เห็นถึงความ ฟอนเฟะของสังคมหรือความสกปรกของ

นักการเมือง โดเมได้วาดภาพการ์ตูนล้อเลียน การเมือง
หนัก จนถึงขนาดเป็นภาพเสียดสีการ

ทำงาน
ของ รัฐบาล จนถูกรัฐบาลสั่งจำคุกหลายครั้ง ภาพที่มีชื่อเสียงเช่น ภาพถนนทรองซโน

แนง (LA RUE TRANSNONAIN)ภาพ คนถูกยิงตายโดยทหาร ศิลปินอีกคนคือ คัว

เบาท์
(Courbet) (ค.ศ.1819 - 1877)
เขา เป็นหัวหน้ากลุ่มเรียลลิสม์ ได้เข้าร่วมกับพวกปฏิวัติ

ฝรั่งเศส
โดย ใช้การเขียนภาพเยาะเย้ยล้อเลียนคนชั้นสูงกับคนชั้นกลาง



มี การวาดภาพล้อเลียนถากถางคนชั้นปกครองระดับผู้นำรัฐบาล เขา จึงถูกคุมขังและต่อมา

จึงโดนเนรเทศออกจากฝรั่งเศส ผลงานที่มีชื่อเสียง เช่น ภาพทางเดินเล่นริมแม่น้ำเซนต์



(LA PROMENADE AU BORD DE LA SENE)   ภาพภาพ

 การฝังศพที่ออนองส์
(I ENTER EMENT AORNANS)
ศิลปินอีกคนคือ

มาเนท์
(Manet) (ค.ศ.1822 - 1883) เขาชอบวาดภาพที่แสดงถึงชีวิตธรรมดาของชนทุกชั้น
ภาพ ที่เห็นมักเป็นภาพพวก ร้านกาแฟเล็กๆ การเต้นรำของสามัญชนทั่วไป

 ภาพนางระบำสเปน และภาพโอลิมเปีย
(L’ OLYMPIA)
หรือ หญิงเปลือยท่อนบน
คำสั่ง โหวต
2 คะแนน โดย edum
เมื่อ 1 ปี
เป็นวันหยุดยาวที่มีความสุขที่สุด
LA 
VISION DE SALOME



 4. ลัทธิไอเดียลลิสม์ (IDEALISM) (เกิด เมื่อ ค.ศ.1860) ศิลปินในลัทธิไอเดียลลิสม์

จะมีทัศนคติในการสร้างผลงานดังนี้ คือ แสดงให้เห็นแง่ดีของชีวิต แสดงความคิดนึกฝัน

หรือความรู้สึก ลัทธินี้ประกอบ กันหลายชนชาติที่มีทัศนคติตรงกัน ศิลปินที่มีชื่อเสียงมา

จากหลากหลาชาติ เช่น คอร์นีเลียส(Cornelius)
ชาวเยอรมัน เขาชอบวาดภาพหญิง

สาวโดยใช้เส้นที่ อ่อนหวานและใช้สีอ่อนๆ มิลเลซ์ (Millais)
ชาวอังกฤษ 

เชาชอบวาดภาพโดยเก็บรายละเอียดเสียจนภาพนั้นคล้ายกับภาพถ่าย ภาพที่มีชื่อ

เสียงคือ ดอกไม้ริมลำธาร กุสตาฟ  มอโร(Gustave Moreay)

ชาวฝรั่งเศส   เขาชอบวาดภาพจากจินตนาการของเขา ภาพ

ที่มีชื่อเสียงคือ ความฝันของซาโลเม
(LA VISLON DESALOME)
คำสั่ง โหวต
2 คะแนน โดย edum
เมื่อ 1 ปี
เป็นวันหยุดยาวที่มีความสุขที่สุด
จุดมหัศจรรย์ของดซอร์ราท

5. ลัทธิอิมเพรสชั่นนิสม์ (Impressionism) (เกิด เมื่อ ค.ศ.1875)

ลัทธินี้  ถือเอาความงามที่ประทับใจเป็นคุณค่า  ศิลปินตั้งใจสร้างสรรค์ผลงานเพียงเพื่อแสดง

ความรู้สึกทางประสาทที่ ได้รับจากสิ่งต่างๆ   มองใกล้อาจไม่สวยงาม  แต่ ถ้ามองไกลก็จะ

เห็นเป็นรูปร่างสวยงาม  มีการลงสีโดยไม่ต้องอาศัยการร่างก่อนคำนึงถึงเฉพาะเรื่องของ

แสงสี ต้องอาศัยแสงและเวลา  เช่น เช้า กลางวัน เย็น ศิลปินที่มีชื่อเสียง เช่น 

โมเนท์ (Monot) (ค.ศ.1840 - 1926) เขาชอบวาดภาพสิ่งๆหนึ่งซ้ำหลายๆหน

บรรยากาศและเวลาแตกต่างกัน   เช่น ภาพวัดคาเทคราลรูอังที่มีเวลาต่างกัน 


เช้า กลางวัน เย็น   ภาพสระน้ำที่เต็มไปด้วยดอกบัว(LOTUS NYMPHCAS)

ศิลปินอีกคน คือ เซอร์ราท
(Soret) (ค.ศ.1849 - 1891) เขามักวาดภาพโดยใช่พู่กันแต้ม

สีน้ำมันลงไปเป็นจุดๆ เป็นระยะ  เมื่อเวลาดูจะเห็นว่าสีสันต่างๆเกิดการผสมด้วยตาของ

ตนเอง  จน มีการเรียกว่า จุดมหัศจรรย์ของเซอร์ราท  ภาพที่มีชื่อเสียง คือ สวนสาธรณะ
คืนที่ดาวระยิบระยับเต็มท้องฟ้า ฝีมือแวนโก๊ะ

6. ลัทธิโพสต์ อิมเพรสชั่นนิสต์(Post Impressionism)

(เกิดราวตอนปลายศตวรรษที่ 19) ป็นลัทธิที่เป็นการนำ

เสนอผลงานศิลปะแบบสมัย ใหม่   มีศิลปินที่สำคัญคือ

โกแกง(Cauguin)   แวนโก๊ะ หรือ ฟาน ก๊อก(Van Gogh) และ

เซซาน (Cezannc)

ในที่ นี้ขอกล่าวถึงแวนโก๊ะเพียงคนเดียว เพราะเขาเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียงอย่างมาก

ผลงานของเขาได้รับการยกย่องว่า งดงามที่สุดจนไม่มีจิตรกรท่านใดเทียบเคียงได้  

แวนโก๊ะเกิดในฮอลันดา  เขาเป็นคนชอบวาดภาพ  ภายหลังย้ายมาอยู่ที่ฝรั่งเศส 

เขาเอาแต่เขียนภาพ  ไม่สนใจตัวเองหรือสิ่งใดเลย แม้กระทั่งสุขภาพของตนเอง 


เขา จึงมีสติวิปลาสถึงขนาดเคยตัดหูตนเอง เคยเอาเลือดของคนเองมาวาดรูป    

ในปี 1890 เขามีสติฟั่นเฟือนมากขึ้น จึงฆ่าตัวตาย รูปแบบการสร้างสรรค์ผลงานของเขา

มีการลงสีเป็นลายหนาๆ  สี สดฉูดฉาด  ภาพพื้นหลังมีลายหมุนเวียน และมีการแต้มจุด 

ผลงานที่มีชื่อเสียงของเขามีมากมาย  เช่น  ภาพชาวบ้านฮอลันดา  ภาพตัวเขาเอง  

ภาพท้องฟ้ากลางคืนที่มีดาวระยิบระยับ
ผลงานของปิกัสโซ



7. ลัทธิคิวบิสม์ (Cubism) ลัทธิ นี้ ศิลปินต้องการแสดงถึงความยุ่งเหยิง

ภาพส่วนใหญ่มีรูปทรงเรขาคณิต และ มักเป็นทรงสี่เหลี่ยมลูกบาศก์

ศิลปินที่มีชื่อเสียงที่สุด คือ ปิกาสโซ (Picasso)
เขาเกิดที่สเปน แต่ย้ายมาอยู่ฝรั่งเศส

ในภายหลัง เขาชอบวาดภาพแบบเซซานและโล เทรค นิยมใช้สีชมพูและสีฟ้าเป็นหลัก

ต่อมาเขาเริ่มมีผลงานที่เป็นแนวคิว บิสม์เด่นชัดมากขึ้น เริ่มวาดภาพคน

ชายหรือหญิงที่ตัวใหญ่ๆ มีเรือนร่างผิดปกติ มีรูปทรงแบบเรขาคณิต มีตา จมูก ปาก

สลับที่กัน ปิกาสโซได้รับการยกย่องว่าเป็นศิลปินที่ยิ่งใหญ่ และเป็นผู้ บุกเบิกแนวศิลปะ

สมัยใหม่ได้อย่างยอดเยี่ยม


8. ลัทธิแอ สแตรค (Astract)  มา จาก แอบสแตรค  ที่หมายถึง นามธรรม  

ศิลปินมีการสร้างสรรค์ผลงานโฑดยการคำนึงถึงเส้นและสีเท่านั้น 

มีลวดลายค้ายลายผ้า  ลายพรม หรือ ลายกระเบื้องปูพื้น  ศิลปินที่มีชื่อเสียง 

เช่น  คองดินสกี(Kandinsky)   มองดีออง (Mondrian)   และ  วิลอง (Villon)

9. ลัทธิเอ๊กซ์เพรสชั่นนิสม์
(Expressionism) (เกิด ราว ค.ศ. 1920)

ศิลปินมีการสร้างสรรค์ผลงานที่แสดงความรู้สึกต่างๆและความประทับใจในธรรมชาติ

ลงฉับพลัน ทั้งความรู้สึกรุนแรง บ้าระห่ำ เกลียดชัง ทารุณ ความเจ็บปวด ทางร่างกาย

ทรมาน น่าเกลียดน่ากลัว เป็นการมองโลกในแง่ร้าย มีความเชื่อมั่น แสงสี

การรับรู้โลกภายนอก ตอบสนองด้วยความรู้สึกของตนเอง ศิลปินที่มีชื่อเสียง เช่น รูโอล


(Rioalt)  โดคอซกา (Kokoschka)  เดียโก ริ เวรา (Diego Rivera)และ บลูม (Blume)


10. ลัทธิ เซอร์เรียลลิสม์ (Surrealism)  ลัทธินี้มีความเชื่อว่า ความจริงของมนุษย์ไมได้เกิดที่การรับรู้เพียง อย่างเดียว คุณค่าอยู่ที่ความหวัง  ความฝัน  ความต้องการที่ไม่สามารถมองเห็นได้เพราะถูกสังคมบังคับ มี ความรู้สึกเก็บกด  ศิลปินจึงมักวาดภาพตามความฝัน จินตนาการของตน  ศิลปินที่มีชื่อเสียง เช่น  อังเดร เบรตอง(Andre  Breton)
75-start.jpg 02 image by thitipat


12. ลัทธิโฟวิสต์ (Fourism) ลัทธินี้ ศิลปินมีการสร้างผลงานที่แสดงถึงความป่าเถื่อน

ความรุนแรงของสังคมมนุษย์ คนอยู่ในสภาวะเก็บกด

เลือกเอาสัตว์มาเป็นเรื่องราวในการเขียนรูป แสดงความรู้สึกของคนที่มีต่อสัตว์มีความเอ็นดู สงสารสัตว์

อ้างอิงจาก///http://atcloud.com/stories/80470

ศิลปะในบริบททางสันติภาพ

บทความพิเศษ :
ศิลปะในบริบททางสันติภาพ
โดย : สุชาติ สวัสดิ์ศรี



ท่านผู้มีเกียรติและเพื่อนศิลปินทุกท่าน...
คำว่า ‘สันติ’ แปลว่า ความสงบ ในภาษาบาลีเขียนว่า ศานติ ส่วนคำว่า สันติภาพ แปลว่า ภาวะความสงบ และ ภาวะปลอดจากสงคราม ซึ่งหมายถึง “สันติภาวะ”ในชีวิตประจำวัน ความปลอดพ้นจากความรุนแรง และความทุกข์ในทุกรูปแบบเนื้อหา ในทางคติพุทธ พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ อริยสัจจ์ 4 คือเห็นว่าชีวิตเป็นทุกข์ ดังนั้นจึงต้องรู้ถึงสาเหตุแห่งทุกข์ และหาทางดับทุกข์นั้นเสีย โดยมี ทาง หรือที่เรียกว่า มรรค 8 เป็นแนวปฏิบัติที่จะทำให้ชีวิตเป็นทุกข์น้อยที่สุด
หัวข้อที่ให้ผมพูดวันนี้ คือ ศิลปะในบริบททางสันติภาพ คำว่า บริบท เป็นภาษาปัญญาชนที่เพิ่งเกิดใหม่ไม่เกิน 10 – 20 ปีนี้เอง คำว่า บริบท หมายถึง สภาพ หรือ สถานการณ์แวดล้อม เช่น บริบททางสังคม บริบททางเศรษฐกิจ บริบททางการเมือง บริบททางศิลปะ ดังนั้น เมื่อให้โจทย์มาว่า บริบททางสันติภาพ จึงขอให้เข้าใจกว้างๆ ว่าหมายถึง สภาพหรือสถานการณ์แวดล้อมของ ‘สันติภาพ’ ที่มีความเกี่ยวข้องกับ ‘ศิลปะ’ หรือบางท่านจะมองว่าเป็นเนื้องานทางศิลปะที่แสดงออกถึง สันติภาวะ ของมนุษย์ในทุกรูปแบบเนื้อหาก็น่าจะได้เช่นกัน
“สันติภาวะ ของมนุษย์ตามคติทางพุทธศาสนานั้น หมายถึงการเข้าใจความจริงว่าชีวิตนั้นเป็นทุกข์ ดังนั้นในชีวิตสั้นๆ ของคนเรา จึงควรเป็นไป เพื่อศีล เพื่อสมาธิ เพื่อปัญญา และเพื่อเห็นว่า ชีวิต นั้น สังคม นั้น ล้วน อนิจจํ (คือไม่แน่นอน) ทุกขํ (คือเป็นทุกข์) และ อนัตตา (คือไม่มีตัวตน) ดังนั้น “สันติภาวะ” ในทางคติพุทธ จึงหมายถึง การยึดมั่นทางสายกลาง ที่ไม่ขึงจนตึงเกินไปด้วย เพราะสายอาจจะขาด และหาค่าอะไรไม่ได้ ดังนั้นจึงต้องขึงให้พอดี (เช่น ไม่เอาทั้ง บุช และ บิน ลาเดน) นอกจากให้ยึดถือ ทางสายกลาง แล้ว คติทางพุทธยังบอกว่า ชีวิตล้วนเป็นไปตาม เหตุปัจจัย (เช่นแรงกดเท่ากับแรงสะท้อน) ซึ่งเข้ากับตรรกะของความคิดแบบวิทยาศาสตร์ ดังนั้นเพื่อให้ปล่อยวาง ปัจฉิมโอวาทของพระพุทธองค์จึงทรงตรัสเป็นภาพรวมรวบยอดครั้งสุดท้ายว่า จงถึงซึ่งความไม่ประมาท ไม่ว่าจะในเรื่องใดก็ตาม
หันมาดูคำว่า ศิลปะ เวลานึกถึงคำๆ นี้ ผมมีข้อสังเกตส่วนตัวว่าบางทีอาจจะมาจากคำว่า ศีล หรือ ศิละ คือหมายถึงวัตรปฏิบัติของคนเรา เช่น ผู้ใดรับศีล ผู้นั้นก็เหมือนรับศิลปะ ผู้ใดรับศีลปะ ผู้นั้นก็เหมือนรับศีล นี่เป็นการกล่าวแบบโวหาร ดังนั้นผมจึงมีความเห็นว่า สันติภาวะในมนุษย์ ก็น่าจะหมายถึง สันติภาวะในศิลปะ ด้วย เพราะ “ภาวะในงานศิลปะ” หรือ บริบททางศิลปะ ในแง่มุมกว้างๆ ไม่ว่าจะเป็นสาขาใด แขนงใด ผมคิดว่ามันเป็นเหมือนภาวะของการก่อเกิด เป็นภาวะแห่งการสร้างมากกว่าการทำลาย เปรียบตามคติทางฮินดูก็คือ ศิลปินนั้นน่าจะเป็นเหมือน พระพรหม คือเป็นผู้สร้าง มากกว่าเหมือน พระศิวะ ซึ่งคือผู้ทำลาย หรือบางทีถ้าหากต้องการเล่นบทสมานฉันท์ ก็ต้องเป็น พระนารายณ์ เพราะพระนารายณ์คือผู้ซ่อมแซม
บริบทต่างๆ ของคำว่า ศิลปะ จึงเป็นบริบทของการ เดินไปก่อนข้างหน้าหนึ่งก้าว ชิ้นงานทางศิลปะที่เดินไปก่อนข้างหน้าหนึ่งก้าว ไม่ว่าประเภทใด แขนงใด ถ้าหากมันมีอำนาจของมันจริง อำนาจของมันก็เป็นเหมือน ตัวหลอมละลาย ที่ศัพท์ทางการละครของกรีกเรียกว่า Catalyst คือคำว่า ‘ศิลปะ’นั้นจะเป็นตัว จุดประกายการหยั่งเห็น ที่ก่อให้เกิดการกระเพื่อมบางอย่างในอารมณ์และความรู้สึกนึกคิดของมนุษย์ งานศิลปะที่มีอำนาจจะทำหน้าที่เป็นเหมือน ตัวเชื่อม หรือ ตัวช่วย ให้เกิด สันติภาวะ ในบางสิ่งบางอย่าง คือ เขยิบภาวะข้างในของมนุษย์ให้เรียนรู้จักตัวเอง บริบทของ ศิลปะ จึงไปทางเดียวกันกับบริบทของ สันติภาพ และภาพกว้างๆ ของ ศิลปะ เท่าที่ผมพอมีประสบการณ์อยู่บ้าง ก็คือ มันมักทำหน้าที่ตั้งคำถามมากกว่าหาคำตอบ และคำถามหนึ่งของ ศิลปะ ที่เป็นเนื้อหาสอดแทรกมาทุกยุคทุกสมัย ก็คือเรื่องสันติภาวะของมนุษย์ในแง่มุมต่างๆ ที่กระตุ้นให้เกิดความเชื่อมโยงกับบางสิ่งบางอย่าง หรือที่ศัพท์วรรณกรรมเรียกว่า เกิด นัยประหวัด เช่น ดูภาพ Guernica ของปิกัสโซ แล้วรู้สึกนึกเห็นความโหดร้ายของสงคราม อ่าน แนวรบด้านตะวันตกเหตุการณ์ไม่เปลี่ยนแปลง ของ เอริค มาเรีย เรอมาร์ค แล้วเห็นอารมณ์ต่อต้านสงครามผ่านทางตัวละคร ดูภาพ The Dance ของ อองรี มาติสส์ แล้วเกิดความรู้สึกรื่นรมย์อย่างประหลาด เหมือนเช่นเดียวกับภาพ Waterlilies ในสวนน้ำของ โมเน่ต์ หรืออ่าน The Old Man and the Sea ของเฮมมิงเวย์แล้ว คงมีผู้อ่านจำนวนไม่น้อยที่รู้สึกนึกเห็นไปถึงความยิ่งใหญ่ของมนุษย์ตัวเล็กๆ ที่ไม่ยอมแพ้
ดังนั้น บริบทของ ศิลปะ จึงเกี่ยวข้องกับบริบทของ ชีวิต อย่างหลีกไม่ได้ เพราะมันหมายถึงเนื้องานต่างๆ ที่เราเรียกว่า ธรรมะ หรือ ธรรมชาติ ของสรรพสิ่งที่เรียกว่า เกิด แก่ เจ็บ ตาย และรัก โลภ โกรธ หลง
ประมาณ 3000 ปีที่ผ่านมา การสร้างงานศิลปะของมนุษย์ไม่ว่าจะยุคสมัยไหน ว่าไปก็เป็นแง่มุมที่วนเวียนอยู่กับการสร้าง ตัวช่วย และ ตัวเชื่อม ให้มนุษย์นั้นแตกต่างไปจากสัตว์ กล่าวคือ ช่วยยกระดับจิตใจให้มนุษย์ไปพ้นจากสัญชาติญาณดิบเถื่อนแบบสัตว์ จนต่อมาก่อเกิดสิ่งที่เรียกว่า ชีวิตทางวัฒนธรรม ขึ้นในชุมชนของตน โดยแต่ครั้งยุคโบราณนั้นมีศรัทธาของชุมชนเป็นตัวนำ ส่วนในปัจจุบันมีวาทกรรมชุดต่างๆ ของปัจเจกเป็นตัวนำ
กล่าวสรุป..
สันติภาพ เป็นสิ่งที่ตรงข้ามโดยสิ้นเชิงกับ สงคราม สันติภาวะที่เป็นภาวะปลอดจากสงคราม ว่าไปก็หาใช่จะปลอดจากสงครามอย่างแท้จริงไม่ เพราะ สงคราม ในปัจจุบันนั้นอาจไม่ใช่การถืออาวุธเข้าห้ำหั่นกันใน สนามรบ อย่างที่เข้าใจกันมาแต่เดิม สงคราม ในปัจจุบัน อาจตีความหมายถึงความรุนแรงในทุกรูปแบบเนื้อหาที่มนุษย์ยังคงทำต่อมนุษย์ด้วยกัน ทั้งในเชิงโครงสร้างและในเชิงปัจเจก ดังนั้น “สภาพ”หรือ “สถานการณ์แวดล้อม” ที่เรียกว่า บริบท จึงหมายรวมไปถึง ความไม่เป็นธรรม ความเหลื่อมล้ำต่ำสูง และ ความแปลกแยก ในทุกรูปแบบเนื้อหาด้วย กล่าวคือตราบใดที่มนุษย์ยังไม่สามารถดำรงสิ่งที่ กุหลาบ สายประดิษฐ์เรียกว่า มนุษยภาพ เอาไว้ให้ได้ ตราบนั้นมนุษย์ก็ยังไม่บรรลุถึงความเป็นมนุษย์อย่างแท้จริง
กุหลาบ สายประดิษฐ์เคยเขียนไว้ในชิ้นงานเรื่อง มนุษยภาพ เมื่อ 74 ปีก่อน ในหัวข้อว่าด้วย “ความสงบ” ผมอยากขอยกมาอ่านให้ฟัง ดังนี้
“บุคคลผู้มีอำนาจอันประกอบด้วยชาติตระกูล ด้วยยศศักดิ์ หรือด้วยเงินก็ตาม มักพอใจปั่นให้คนทั้งหลายหลงด้วยวาจาอันไพเราะ เขาทำดังนั้นเพราะประโยชน์ของใคร ข้าพเจ้าไม่อยากตอบ..
“อำนาจบันดาลความนิยม นี่เป็นความจริงมาแล้วแต่บรรพกาล ยังเป็นอยู่ในปัจจุบันสมัย และยังจะเป็นต่อไปอีกจนกว่าโลกแตก แต่ท่านผู้อ่านพึงระลึกไว้ว่า สิ่งอันปรุงแต่งอำนาจขึ้นนั้นไม่คงที่ ย่อมหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไปตามกาลสมัย..
“ การไม่สู้หน้ากับความจริง คือบ่อเกิดของความไม่สงบสุข ความจริงกับความสงบเป็นของคู่กัน แม้ในทางพุทธศาสนาก็สอนให้มนุษย์สู้หน้ากับความเป็นจริง ให้เชื่อด้วยมีใจศรัทธา มิใช่ให้เชื่อด้วยความงมงาย หรือหลอกลวง หรือข่มขี่ บังคับ โกหกตอแหล..นี่เป็นบ่อเกิดของความปั่นป่วนจลาจล และนำความเดือดร้อนมาสู่มนุษยชาติ”
สิ่งที่กุหลาบ สายประดิษฐ์เรียกว่า ความจริงคือความสงบ นี้ ต่อมาในปี พ.ศ.2493 กุหลาบ สายประดิษฐ์ ได้แปรสภาพให้มันเป็นรูปธรรมมากขึ้น โดยก่อตั้ง ‘คณะกรรมการสันติภาพแห่งประเทศไทย’เพื่อประกาศเรียกร้องหาสันติภาพ ให้มนุษย์ปลอดจากความหิวโหยและโรคภัยไข้เจ็บ รวมทั้งมีเป้าหมายคัดค้านสงครามนิวเคลียร์และสงครามเกาหลีในเวลานั้น จนต่อมาได้นำไปสู่การถูกอำนาจรัฐในสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม จับกุมคุมขังเจ้าของความคิดดังกล่าวในปี 2495 ดังที่เรียกกันในยุคนั้นว่า กบฎสันติภาพ
ท่านที่เคารพ ไม่น่าเชื่อว่าคำว่า สันติภาพ หรือ สันติชน ซึ่งมีความหมายในทางบวก จะมาเกี่ยวข้องกับคำว่า กบฎ ซึ่งมีความหมายในทางลบ แต่ด้วยบทบาทของความเป็นนักคิด นักเขียน และเป็นศิลปิน ในจิตวิญญาณแห่งความรักสันติ กุหลาบ สายประดิษฐ์ จึงได้เดินไปข้างหน้าก่อนหนึ่งก้าว เหมือนกับงานเขียนและงานสร้างภาพยนตร์เรื่อง พระเจ้าช้างเผือก ของ ปรีดี พนมยงค์ เมื่อ พ.ศ.2483 ที่ถือเสมือนเป็นการก้าวไปก่อนข้างหน้าหนึ่งก้าว เพื่อเตือนสติให้รัฐบาลจอมพล ป.ในยุคนั้นวางตัวเป็นกลาง ไม่ยุ่งเกี่ยวกับคู่กรณีทั้งสองฝ่าย เพื่อจะได้ไม่ตกอยู่ในหลุมพรางของคำว่า “สงคราม” บริบททางสันติภาพในงานศิลปะของบคคลทั้งสองจึงมาก่อนการยอมรับของผู้มีอำนาจหรือของสังคมไทยในยุคนั้นหนึ่งก้าว
ผู้ทำงานสร้างศิลปะในทุกเนื้องาน ไม่ว่าท่านจะสร้างงานศิลปะในสาขาใดก็ตาม หากท่านมี สันติภาวะ เป็นบริบทอยู่ในจิตวิญญาณ พวกท่านทั้งหลายก็คือผู้ที่กุหลาบ สายประดิษฐ์เรียกว่า ผู้มีการกระทำอันทรงศักดิ์และเป็นมงคลแท้จริง
โลกร่วมสมัย หรือที่เรียกว่า โลกหลังสมัยใหม่ อย่างที่เห็นและเป็นอยู่ในปัจจุบันนั้น ว่าไปแล้วก็หาได้ “ปลอดจากภาวะสงคราม” แต่อย่างใดไม่ เพราะคำว่า สงคราม ในรูปแบบใหม่ได้ทวีความรุนแรงซับซ้อนในชีวิตปัจจุบันมากขึ้นทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยมีต้นกำเนิดของความซับซ้อนมาจากการเปลี่ยนผ่านสังคมเกษตรเป็นสังคมอุตสาหกรรม การเปลี่ยนวิถีชีวิตชนบทมาเป็นวิถีชีวิตเมือง จากเมืองเล็กกลายเป็นเมืองใหญ่ และจากเมืองใหญ่กลายเป็นเมืองที่ “กินตัวเอง”ใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ โดยมีตัวร่วมเน้นไปที่การพัฒนาเทคโนโลยี่เพื่อรับใช้ลัทธิอุตสาหกรรม “ทุนนิยม” ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นบ่อเกิดแห่งความชั่วร้ายส่วนหนึ่งของลัทธิจักรวรรดินิยม และก่อให้เกิดสงครามเต็มรูปแบบ เช่นสงครามโลกครั้งที่ 1 และสงครามโลกครั้งที่ 2 แม้ว่าสงครามโลกทั้งสองจะสงบลงแล้ว แต่สงครามในรูปแบบอื่น เช่น “สงครามตัวแทน”ในยุคสงครามเย็น และสงครามเชิงสัญลักษณ์ หลังเหตุการณ์วันที่ 11 กันยายน ก็ยังคงสร้างความพินาศย่อยยับให้กับมนุษยชาติอย่างต่อเนื่อง ที่กล่าวกันว่า “สงครามยังไม่สิ้น”นั้น ยังคงเป็นเรื่องจริง และทำให้ บริบททางสันติภาพ ในโลกร่วมสมัย-หลังสมัยใหม่ มีความสลับซับซ้อนมากขึ้น คำว่า “เหยื่อรายสุดท้าย”นั้นหามีไม่ แต่มีคำว่า “เหยื่อรายต่อไป”มากกว่า เพราะ สงคราม ที่ซ่อนตัวอยู่ในภาวะและเงื่อนไขต่างๆ ล้วนมีความลื่นไหลมากขึ้น สงครามยุคใหม่นั้นสามารถฆ่ากันได้โดยไม่ต้องใช้วิธียกกองทัพมารบกันเหมือนสมัยก่อน สงครามแบบใหม่ เช่นสงครามเศรษฐกิจ และสงครามวัฒนธรรม แม้บ้านเมืองจะอยู่ในภาวะแห่งความสงบ แต่มนุษย์ก็ยังคงแสดงความรุนแรงต่อมนุษย์ด้วยกันทั้งในรูปแบบซึ่งหน้าและในรูปแบบแอบซ่อน ความรุนแรงนั้นมีปรากฏให้เราเห็นเสมอ ตั้งแต่เรื่องบนเตียงจนถึงเรื่องในตลาดหุ้น สงครามในความหมายเชิงการเมือง – เศรษฐกิจ ปัจจุบันดูเหมือนได้ไหลลื่นกลายมาเป็นสงครามในเชิงสังคม – วัฒนธรรมมากขึ้น
คำว่า พัฒนา ในโลกสมัยใหม่ที่มีระบบอุตสาหกรรมเป็นแกนใหญ่ มีระดับต่างๆ ของมันหลายแบบ และแต่ละแบบมักทำให้ผู้คนตกอยู่ในภาวะแปลกแยกแบบไม่ต้องประกาศ ผู้คนในโลกยุคใหม่ตกอยู่ในภาวะ people at war ในหลายรูปแบบ ตั้งแต่อดอาหารตายในแอฟริกา อุบัติเหตุตายบนถนนในเทศกาลสงกรานต์ กินอาหารเป็นพิษทำให้เกิดโรคอ้วน การเผาขยะ
พลาสติกทำให้โลกร้อนขึ้น แม่น้ำลำคลองแทนที่จะใสกลับเน่าเสีย อากาศหายใจแทนที่จะบริสุทธิ์กลับเต็มไปด้วยฝุ่นพิษ ผู้คนบริโภคมากขึ้น ขยะก็เพิ่มมากขึ้น พืชพันธุ์ไม้และสัตว์บางชนิดเริ่มสูญหายเพราะสิ่งแวดล้อมถูกทำลาย เกิดการแย่งชิงทรัพยากรธรรมชาติในรูปแบบต่างๆ และเกิดปัญหาเชิงสังคมวัฒนธรรมร้อยแปด เช่นการค้ามนุษย์ ยาเสพติด เอดส์ โสเภณีเด็ก และโรคระบาดใหม่ๆ ที่เป็นผลมาจากการอพยพโยกย้ายแรงงาน ความโลภและความหลงของมนุษย์ได้ทำให้คำว่า “พัฒนา”มีความหมายในแง่ลบ และแอบซ่อนตัวซับซ้อนมากขึ้น อาจกล่าวได้ว่า ยังไม่มียุคไหนในอดีตที่มนุษย์จะตกอยู่ในภาวะ people at war ได้รุนแรงมากขึ้นเหมือนอย่างในยุคนี้ การใช้วิธี ระเบิดพลีชีพ ดูเหมือนจะกลายเป็น “ภาวะเชิงสัญลักษณ์”ที่ทำให้ความรุนแรงมิได้จำกัดพื้นที่อีกต่อไป คนบริสุทธิ์สามารถตกเป็นเหยื่อได้อย่างไม่จำกัดของเขต คำว่า “สนามรบ”จึงมีนัยยะไม่จำกัดทั้งพื้นที่และเวลา และ “สนามรบ”ที่มีความรุนแรงแอบแฝงอยู่ในโลกยุคใหม่เหล่านี้มีถี่ขึ้น่โดยมิได้จำกัดขอบเขตอยู่เฉพาะมนุษย์กับมนุษย์เท่านั้น แต่มนุษย์กับธรรมชาติก็เริ่มมีปัญหาในแง่ดุลยภาพมากขึ้น ปรากฏการณ์ธรรมชาติหลายอย่างที่เกิดขึ้นในช่วงก่อนสิ้นศตวรรษที่ 20 ดูเหมือนเป็นการโต้กลับ หรือฟ้องให้เห็นบางสิ่งบางอย่างว่า โลกของเราในยุคศตวรรษที่ 21 นั้นได้เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ และคำว่า ศิลปะ ที่ในอดีตเป็นภาษาทางจิตวิญญาณก็ได้เปลี่ยน วิถี และ วิธี เป็นภาษาแบบใหม่มากขึ้น เช่นภาษาการตลาดและภาษาอุตสาหกรรมบันเทิง “ศิลปะ”ในยุคหลังสมัยใหม่ได้ถูกตีความให้มีความหมายอย่างไรก็ได้ เพราะเหมือนของเหลวที่แปรเปลี่ยนรูปทรงไปตามภาชนะที่ดำรงอยู่ คำว่า “ศิลปะร่วมสมัย”ในปัจจุบันว่าไปก็เหมือน“ร่างทรง”ของความแปลกแยกใหม่ๆที่ถูกกำหนดขึ้นโดยวาทกรรมร้อยพ่อพันแม่ ศิลปะกับชีวิตแทนที่จะสมดุลและเดินไปพร้อมกัน ปัจจุบันดูเหมือนจะแยกออกจากกัน และโดดเดี่ยวตัวเองไปตามรสนิยมแบบตัวใครตัวมัน คำว่า ศิลปะ กลายเป็นเพียงสินค้าในโชว์รูมประเภทหนึ่งที่ผลิตวาทกรรมเฉพาะตนขึ้นมารับรู้กันในหมู่คนพวกเดียวกันและ กลายเป็นเหมือนตัวแทนของสิ่งที่เรียกว่า อุตสาหกรรมบันเทิง พระเจ้าองค์ใหม่ของคำว่า ศิลปะ หาได้สถิตอยู่ในหอศิลป์ หรือพิพิธภัณฑ์ในรูปแบบเก่าอีกต่อไป แต่กลับไปอยู่ที่จอโทรทัศน์ และสื่อวัฒนธรรมแบบอีเล็คโทรนิค บางที ขยะ อาจกลายเป็น ศิลปะ ในอีกรูปแบบหนึ่งก็ได้ ศิลปะไม่ใช่ความศักดิ์สิทธิ์หรือความศรัทธาอย่างที่เชื่อกันอีกต่อไป แต่เป็นวาทกรรมที่ผลิตขึ้นเพื่อใช้แบบ “แดกด่วน”สนองความโลภ ความโกรธ ความหลง และแยกตัวเองออกจากวิถีชีวิตสามัญของผู้คน
ในงานเขียนเรื่อง ต้นไม้สายใยชีวิต ที่แปลมาจากเรื่อง The Living Tree ของ จอห์น เลน จอห์น เลน ได้กล่าวถึง สันติภาวะ ว่าเป็น “ภาษาทางจิตวิญญาณ” และ ศิลปะ คือสิ่งที่จุดประกายการหยั่งเห็นของมนุษย์ โดยเขาให้ความสำคัญว่า ศิลปะ นั้น ต้อง เป็นเหมือนต้นไม้ที่แผ่กิ่งก้านออกไปสร้างความสมดุลให้ชีวิต และศิลปะจะทำอย่างนั้นได้ก็ต้องกลับไปหา รากเหง้าเดิม ที่ถูกทอดทิ้ง กลับไปหาความศักดิ์สิทธิ์ของศิลปะ กลับไปหาสุนทรียธรรมของศิลปะ บริบททางสันติภาพในงานศิลปะ ถ้าจะมีมูลค่าจริง จอห์น เลน มีความเห็นว่าเพราะเราจะช่วยกันปรับระดับจิตวิญญาณของมนุษย์ให้เข้าสู่ สุนทรียธรรม ศิลปะนั้นเป็นเหมือนการจุดประกายให้หยั่งเห็นความดี ความงามและความจริง จิตรกรตามแนวทางที่จอห์น เลนยกตัวอย่างก็มี เช่น วิลเลียม เบรค, วินเซนต์ แวนโกะห์, อองรี มาติสส์, เซซิล คอลลินฯลฯ ตรงข้ามกับจิตรกรอย่างฟรานซิส เบคอน และ แอนดี้ วอห์ฮอ ที่ก็เป็นตัวอย่างเหมือนกัน แต่เป็นตัวอย่างที่สะท้อนให้เห็นว่าโลกปัจจุบันขาดความสมดุล เช่นภาพเขียนของ ฟรานซิส เบคอน สะท้อนให้เห็นความรุนแรงที่มนุษย์กระทำต่อมนุษย์ และภาพเขียนของ แอนดี้ วอห์ฮอ ก็สะท้อนอุตสาหกรรมบันเทิงในโลกวัฒนธรรมป๊อบที่ทุกอย่าง “มาไว ไปไว” เหมือนบะหมี่สำเร็จรูป
ศิลปะในบริบททางสันติภาพ ถ้าหากยังมีอยู่จริง จอห์น เลนกล่าวว่ามันควรเป็นเหมือน “เจตจำนงศักดิ์สิทธิ” ที่คนทำงานศิลปะเสนอตัวเป็น “สื่อของความงาม” แม้ความงามจะพูดถึงความน่าเกลียดก็ไม่เป็นไร แต่โลกยุคหลังสมัยใหม่ “ความงาม” มักถูกตีความด้วยวาทกรรมร้อยแปด ที่แม้แต่ “ขี้หมา”กองเดียวก็ถูกรื้อสร้างให้เห็นเป็น “ทองคำ”ได้ ศิลปะในบริบทของโลกหลังสมัยใหม่ จึงไม่เชื่อเหมือนที่ดอสโตเยฟสกี้เชื่ออีกต่อไป คือไม่เชื่อว่า มนุษย์จะรอดด้วยความงาม และไม่เชื่อว่า ศิลปะกับชีวิตรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน คือมนุษย์กับพระผู้เป็นเจ้า เหมือนที่ตอลสตอยเคยเขียนไว้ในหนังสือ What is Art? ด้วย
ปัญหาก็คือ ศิลปิน หรือผู้ทำงานศิลปะในทุกวันนี้เชื่ออะไร พวกเขายังเชื่อว่า จินตนาการสร้างสรรค์มีส่วนสำคัญในการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ของผู้คน เหมือนอย่างที่จอห์น เลน กล่าวไว้หรือเปล่า พวกเขายังเชื่อว่ามนุษย์กำลังแสวงหาสิ่งใหม่เพื่อเป็นทางเลือกใหม่แทนลัทธิบริโภคนิยมและลัทธิอุตสาหกรรมบันเทิงจริงหรือไม่ ตราบใดถ้าคนทำงานศิลปะยังเชื่อในสุนทรียธรรม ว่าเป็นการเรียกหาความสมดุลที่ขาดหาย และเห็นว่าความงามที่กระตุ้นประกายการหยั่งเห็นของมนุษย์นั้นยังมีอยู่จริง ตราบนั้นศิลปะกับชีวิตก็สามารถจะหลอมรวมเข้าหากันได้โดยไม่แปลกแยกต่อกัน เมื่อนั้น ศิลปะก็จะไม่ล้มเหลว ไม่เป็น art-failure อย่างที่เห็นและเป็นอยู่ในสังคมร่วมสมัย
บริบททาง “สันติภาวะ”กับงานศิลปะนั้น ถ้ามีอยู่จริงมันก็มีแง่มุมของมันได้ตั้งแต่เรื่องส่วนตัวไปจนถึงเรื่องส่วนรวม และเกี่ยวข้องไปได้ทุกเรื่องโดยไม่จำกัดว่าจะต้องเป็นเนื้อหาทางการเมืองเพียงอย่างเดียว กระนั้นศิลปะในบริบททางสันติภาพก็มักเกี่ยวข้องกับเนื้อหาทางสังคมไม่มากก็น้อย เพราะเป็นเหมือนพันธกิจทางสังคม [commitment]ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม คำว่า สันติภาวะ มิได้ลอยอยู่ในความว่างเปล่า แต่มันเป็นเหมือน “หัวเชื้อ”ที่ผู้คนต้องฟันฝ่าออกไปจากความคิดกระแสหลักที่ครอบอยู่ในกรอบ ทุนนิยม -อุตสาหกรรม และ ทุนนิยม อำนาจนิยม
สุนทรียธรรมในชิ้นงานจิตรกรรมที่ จอห์น เลน กล่าวว่าเป็นเหมือนต้นไม้ที่แผ่กิ่งก้านออกไปสร้างความสมดุลให้ชีวิตนั้น ว่าไปแล้วก็หาใช่เนื้อหาประเภท “ชูกำปั้น” หรือ “โชว์อวัยวะเพศ”ไม่ แต่หากเป็นเนื้อหาที่แวนโกะห์เรียกว่า “ความเงียบจากข้างในจะนำไปสู่การกระทำ” ในจดหมายฉบับหนึ่งที่แวนโกะห์เขียนถึงธีโอ น้องชาย มีข้อความประโยคหนึ่งกล่าวว่า “เมื่อคุณต้องการงอกงาม คุณต้องมุดลงไปในผืนดิน”
สันติภาวะทางศิลปะจึงเป็นเหมือนภาวะรู้สึกต่อสรรพสิ่งรอบตัว ที่โลกภายนอกและโลกภายในรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน และในบริบทของงานศิลปะนั้นก็คงเป็นเหมือนที่อองรี มาติสส์ กล่าวว่า “มีเพียงสิ่งเดียวที่สามารถออกคำสั่งให้อารมณ์เป็นไปตามความต้องการได้ คือตัวศิลปินเอง..และบางครั้งศิลปะก็เหมือนเก้าอี้นวม ดีๆซึ่งเป็นที่พักกายจากความเหนื่อยล้า” บางคนไม่เห็นด้วยกับทรรศนะนี้ แต่ผมเห็นด้วย การทำงานศิลปะนั้นน่าจะเป็นเรื่องที่สำคัญได้ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการงานประเภทอื่น คานธีเองก็เคยกล่าวว่า “แม้ในกิจกรรมธรรมดาๆของชีวิต ก็สามารถมีผลต่อเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองไปพร้อมกันได้”
ความสุดโต่งของคนทำงานศิลปะในโลกร่วมสมัย ว่าไปแล้วก็น่าจะแบ่งออกเป็น 2 พวกใหญ่ๆ คือ 1 เห็นว่าการทำงานศิลปะไม่ต้องรับผิดชอบต่อผู้ใด หรือสิ่งใด และ 2 เห็นว่าการทำงานศิลปะควรต้องรับผิดชอบ และมีจิตผูกพันกับสังคม
ศิลปินในทรรศนะประการแรกก็อย่างเช่น เกอ๊อก บาเซลิทซ์ จิตรกรในกลุ่ม Neo-Expressionism ที่ครั้งหนึ่งเคยให้สัมภาษณ์ว่า
“ศิลปินไม่รับผิดชอบต่อผู้ใด บทบาททางสังคมของเขาคือไม่เกี่ยวข้องกับสังคม ไม่สื่อสารใดๆ กับสาธารณะ ศิลปินไม่ตั้งคำถาม ไม่แสดงความเห็น ไม่ให้ข้อมูล ไม่เสนอสาระหรือความเห็น เขาไม่ช่วยใครทั้งนั้น..”
ส่วนศิลปินในทรรศนะประการหลัง ก็มีตัวอย่างในอดีตว่ามาตั้งแต่ตอลสตอย, กามูส์ แซงเต๊ก-ซูแปรี่, เบรคทซ์ ฯลฯ หรือไม่จิตรกรอย่างเช่น ฟรีดา กาโล และดิเอโก้ ริเวร่า เป็นต้น ศิลปะที่แสดง นัยยะผูกพัน กับสังคม ถือเป็น commitment ทางใจบางอย่าง เมื่อคุณเทศนาสิ่งใด คุณก็ควรเชื่อสิ่งนั้น แต่ผมว่าเอาแค่ที่แวนโกะห์กล่าวไว้ก็น่าจะพอแล้ว คือเขาเคยเขียนไว้ในจดหมายฉบับหนึ่งว่า “ไม่มีอะไรเป็นศิลปะอย่างแท้จริง เท่ากับการรักเพื่อนมนุษย์”
“การรักเพื่อนมนุษย์” ผมคิดว่าคือบริบททางสันติภาพที่ยากที่สุด แต่เห็นชัดที่สุด ศิลปะเอาได้แค่นี้ผมว่าก็น่าจะพอแล้ว
อีกประการหนึ่ง ที่เป็นข้อสังเกตของผม ก็คือ
ศิลปะในบริบททางสันติภาพ ไม่ใช่ปัญหาเรื่อง Style และไม่ใช่เรื่องสำนัก School ไหนก็ไม่สำคัญทั้งนั้น เพราะ “สันติภาวะ”เป็นเรื่องสากลของมนุษย์ตามปัจจัยแวดล้อม ดังนั้นบริบททางสันติภาพจึงเป็น แนวคิด วิธีคิด และ วิถีชีวิต ที่เดินไปพร้อมกัน มองไปทางเดียวกัน และสามารถดูได้ทั้งแง่ ปัจเจก และแง่ ขบวนการ Movement
ศิลปะในบริบททางสันติภาพ ของปัจเจกคือ กระบวนทัศน์ ที่หมายถึงแนวคิด วิธีคิด และวิถีชีวิต ซึ่งในแง่ของกลุ่มหรือขบวนการก็น่าจะเป็นแบบเดียวกัน คือมีเป้าหมายมุ่งไปสู่อุดมคติ 3 ประการ ได้แก่ ธรรมะ-ประชาชน-และ-สันติภาพ
หรือจะเรียกเสียใหม่ว่า สันติ-ประชา-ธรรม ก็ได้
สันติประชาธรรม เป็นอุดมคติในระดับปัจเจกและอุดมการณ์ในระดับกลุ่มความคิด ใน กระบวนทัศน์ ระดับปัจเจกนั้น หมายถึงการสร้างคติ ธรรมะเหนืออำนาจ การสร้างเมตตากรุณา การให้อภัย การไม่ตกอยู่ในความโลภ ความโกรธ ความหลง ดังเช่นกษัตริย์เมืองอโยธยา ในเรื่อง พระเจ้าช้างเผือก ที่กล่าวว่า “ฃัยชนะของสันติภาพนั้น มิได้มีชื่อเสียงบรรลือนามน้อยไปกว่าชัยชนะแห่งสงครามแต่ประการใด” และสรุปไว้ในตอนจบของเรื่องว่า “ไม่มีสุขใดเสมอด้วยความสงบสันติ”
ส่วนในแง่ขบวนการ หรือ Movement ในระดับกลุ่มความคิด เราจะเห็นตัวอย่างจากกลุ่มต่างๆ ที่มีเป้าหมายทางสังคมร่วมกัน เช่นกลุ่มต่อต้านสงคราม หรือ “คณะกรรมการสันติภาพสากล” ที่ครั้งหนึ่งในประเทศไทย เคยมี นายกุหลาบ สายประดิษฐ์ เป็นรองประธาน เมื่อ พ.ศ. 2493 หรือจะดูจากการเคลื่อนไหวเพื่อต่อต้านความรุนแรงในรูปแบบต่างๆของ บรรดาเครือข่ายเอ็นจีโอ.ก็น่าจะได้ เช่นการต่อต้านสงคราม การต่อต้านการค้ามนุษย์ การต่อต้านยาเสพติด การต่อต้านความโง่เขลา เช่นการพิทักษ์รักษาธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การต่อสู้กับโรคเอดส์ การเตือนชุมชนให้รู้จักรากเหง้าตัวเอง ฯลฯ ตัวอย่างเหล่านี้ล้วนเป็น Movement ในแง่การเคลื่อนไหวทางสันติภาวะทั้งสิ้น
ศิลปะในบริบททางสันติภาพ ตามทรรศนะของผม จึงเป็นมากกว่า School ทางความคิด และเป็นมากกว่า style ในแง่การทำงาน
บริบททางสันติภาพที่สะท้อนออกมาในงานศิลปะ มีตัวอย่างอยู่ในศิลปะทุกสาขา ไม่ว่าจะเป็น วรรณคดี ภาพเขียน ดนตรี บทละคร ภาพถ่าย ภาพยนตร์ สถาปัตยกรรม ฯลฯ หรือแม้แต่ในเรื่องเชิงวัฒนธรรม เช่นอาหารที่เรากิน หรือภาษาที่เราใช้ในชีวิตประจำวัน สิ่งเหล่านี้ล้วนสะท้อนภาวะบางอย่างให้เราตระหนักว่า เรามีชีวิตอยู่ในชุมชนวัฒนธรรมแบบใด
อย่างไรก็ตาม เมื่อพูดถึงคำว่า “ศิลปะ” เราไม่ควรลืมคำว่า “อิสระ”ด้วย เพราะ “สันติภาวะ”นั้นหมายถึงการยอมรับความแตกต่างในกันและกันด้วย และเป็นการขับเคลื่อนทางสังคม ดังนั้นจึงเป็นเรื่องของความอดทนที่ต้องใช้เวลาบ่มเพาะผมคิดว่างานศิลปะในทุกกระบวนทัศน์และทุกขบวนการเป็นการเคลื่อนไหวทางสังคมมากกว่าความเคลื่อนไหวทางการเมือง เมื่อใครก็ตามเอาการเมืองเข้าจับ ปัญหาก็มักจะเกิดขึ้นแล้วแต่ความตื้นลึกหนาบางของแต่ละคนแต่ละกลุ่ม
ศิลปะควรเป็นการขับเคลื่อนที่ไม่สร้างความแปลกแยกต่อกัน ไม่ฉะนั้นแล้วก็หาใช่การขับเคลื่อนเพื่อ “สันติภาวะ”ไม่ เมื่อเป็นการขับเคลื่อนทางสังคมมากกว่าการเคลื่อนไหวทางการเมือง ดังนั้นจึงต้องกว้างและลึกและต้องใช้เวลา หรือที่ชอบเรียกกันว่า วิสัยทัศน์ นั่นเอง
“สันติภาวะ” ไม่ใช่เรื่อง เฉพาะกิจ เฉพาะยุคสมัย เฉพาะกลุ่ม หรือ เฉพาะโครงการเพื่อหาเงิน แต่ “สันติภาวะ”ควรเป็น วิถีชีวิต และ วิธีคิด ที่ลองผิดลองถูก ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว แต่มีเป้าหมายในแง่ สันติ-ประชา-ธรรม ร่วมกัน จะเท่ทางศิลปะสไตล์ไหนไม่ว่ากัน แต่ควรมี “ประกายการหยั่งเห็น”ร่วมกันบางอย่าง เช่นต่อสู้กับอำนาจนิยมทุกรูปแบบ ต่อสู้เพื่อพิทักษ์สิ่งแวดล้อม ต่อสู้เพื่อรากเหง้าตัวเอง ขณะเดียวกันก็ต้องรู้เท่าทันตัวเอง ดังนั้นขั้นสุดท้ายของ “สันติภาวะ”จึงเป็นเรื่องด้านในมากกว่าด้านนอก
การทำงานศิลปะที่เห็นว่า ศิลปะเป็นตัวเชื่อม ตัวจุดประกาย ให้รู้จักตั้งคำถามนั้นถือเป็นเรื่องการขับเคลื่อนความคิดตลอดชีวิต เมื่อชีวิตหลอมเข้าหาศิลปะ และศิลปะหลอมเข้าหาชีวิต การรู้จักสันติภาวะในตัวเองนั่นแหละที่สำคัญที่สุด ศิลปะในบริบทดังกล่าวจึงเป็นไปเพื่อการเจริญสมาธิภาวนาเหมือนเช่นที่ ท่านพุทธทาส กล่าวว่า “ถ้าชาวโลกมีธรรมะแล้วก็ไม่จำเป็นต้องมีการเมือง” อองรี มาติสส์ เองก็เคยกล่าวว่า “การสร้างสรรค์ต้องใช้ความกล้า” [Creativity takes courage] ส่วน ปอล โกแกง ก็กล่าวไว้ทำนองเดียวกันว่า I shut my eyes in order to see – ฉันหลับตาเพื่อที่จะเห็น
ศิลปะในบริบททางสันติภาพจึงเป็นเรื่องของศิลปะที่มีเป้าหมาย แม้จะมีเป้าหมายหลายระดับต่างกัน แต่ความคิดรวบยอด ก็น่าจะเป็นอย่างที่ ตอลสตอยกล่าวไว้ คือ ศิลปะจักต้องทำลายความรุนแรง และมีก็แต่ศิลปะเท่านั้นที่ทำได้ ชิ้นงานศิลปะที่ทรงอำนาจ เมื่อมันมีชีวิต มันจะมีอำนาจให้ผู้คนรู้จักอธิบายตัวเองโดยไม่ขึ้นต่อเชื้อชาติและกาลเวลา
งานศิลปะที่ทรงคุณค่า ไม่ว่าแขนงใดก็ตาม วรรณกรรม ภาพเขียน ดนตรี บทละคร ภาพถ่าย ภาพยนตร์ และหรือสื่อใหม่ๆที่จะเกิดขึ้นในอนาคต หากชิ้นงานเหล่านั้นมี “ประกายหยั่งเห็น”ไม่ว่าระดับใดก็ตามชิ้นงานของศิลปะเหล่านั้นก็จะมีอำนาจในตัวเอง และหาคำอธิบายของมันได้เองในที่สุด
ศิลปะในบริบททางสันติภาพ เป็นเหมือน Wind beneath your wings คือเป็น ลมใต้ปีก ที่จะช่วยให้คุณติดปีกจินตนาการทั้งเพื่อตัวคุณเอง และคนที่คุณรัก ศิลปะจะเป็น ลมใต้ปีก ที่ช่วยเยียวยาโลกนี้ได้ทันหรือไม่ ผมไม่มีคำตอบ แต่ผมเชื่อว่า ศิลปะ นั้นมีอำนาจจริง และอำนาจของมันจะยังคงอยู่ต่อไป แม้อาจจะลดบทบาทลงไปบ้าง แต่ผมก็ยังเชื่อว่ามันมีจริง
ศิลปะยังไม่ล้มเหลว – ศิลปินยังไม่เป็น Such – artfailure
เรื่องนี้ความมี “สันติภาวะ”ในหมู่พวกเราเท่านั้นที่จะช่วยกันตอบ

เรียบเรียงจากปาฐกถา ศิลปะในบริบททางสันติภาพ ในวาระ “60 ปี สันติภาพไทย สันติภาพโลก” เนื่องในงานแสดงนิทรรศการ ศิลปะกับสันติภาพ
ณ สถาบันปรีดี พนมยงค์ เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ.2548

by Mr Suchart Swasdisri
โดย::สุชาติ สวัสดิ์ศรี

-----------------------------
สุชาติ สวัสดิ์ศรี : ประวัติงานแสดงศิลปะ
เกิด : 24 มิถุนายน 2488 ที่ตำบลท่าเรือ อำเภอท่าเรือ พ่อเป็นหมอเสนารักษ์ แม่เป็นชาวนา
การศึกษา : 2509 ศิลปศาสตร์บัณฑิต (เกียรติยมดี) สาขาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ประสบการณ์ : ครูโรงเรียนราษฎร์ อาจารย์มหาวิทยาลัย นักเขียน บรรณาธิการนิตยสาร บรรณาธิการสำนักพิมพ์
ร่วมก่อตั้งกลุ่มวรรณกรรม ร่วมก่อตั้งกลุ่มละคร ที่ปรึกษากลุ่มกิจกรรมฯ ก่อตั้งรางวัลช่อการะเกด ก่อตั้งสำนักช่างวรรณกรรม ฯลฯ
ประสบการณ์ด้านศิลปะ : ศึกษาศิลปะด้วยตัวเอง

งานแสดงนิทรรศการศิลปะ :

งานแสดงกลุ่ม
2544 - นิทรรศการ ศิลปะกับสังคม : สถาบันปรีดี พนมยงค์
2545 - นิทรรศการ ศิลปะกับสังคม : สถาบันปรีดี พนมยงค์
2546 - นิทรรศการ ศิลปะกับสังคม : สถาบันปรีดี พนมยงค์
2547 - นิทรรศการ ศิลปะกับสังคม : สถาบันปรีดี พนมยงค์
- นิทรรศการ เจ้าชายน้อย(เพื่อคนพิการ) : ภัทราวดีแกลเลอรี, กรุงเทพฯ
- นิทรรศการ "หงา คาราวาน" พบ "สิงห์สนามหลวง" (เพื่อ ’รงค์ วงษ์สวรรค์) : ร้านล็อต, เชียงใหม่
- นิทรรศการ "เพื่อนศิลปิน" : ร้านเจน, กรุงเทพฯ
- นิทรรศการ "JAZZ UP YOUR LIFE" ร่วมกับ “สิเหร่” : ร้านเฮ็มลอก, กรุงเทพฯ
2548 - นิทรรศการ "ศิลปะเกื้อกูลศิลปะ" : สมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย
- นิทรรศการ ศิลปะกับสังคม : สถาบันปรีดี พนมยงค์

นิทรรศการเดี่ยว
2544 - งานติดตั้งจัดวาง นักเขียนเก่าไม่มีวันตาย : สถาบันปรีดี พนมยงค์
2546 - สุชาติโทเปีย [SUCH-ARTOPIA] งานแสดงจิตรกรรมภาคแรก : ห้องศิลปนิทรรศมารศี พิพิธภัณฑ์วังสวนผักกาด
2547 - สุชาติมาเนีย [SUCH-ARTMANIA] งานแสดงจิตรกรรมภาคสอง งานติดตั้งจัดวางและเปิดตัวนวนิยายทัศนศิลป์ [Visual Art Novel] : สถาบันปรีดี พนมยงค์
- ดาวเรืองบินข้ามครรภ์ฟ้า : ร้านหนังสือใต้ดิน กรุงเทพฯ
2548 - สุชาติเฟลเลีย [SUCH-ARTFAILURE] งานแสดงจิตรกรรมภาคสาม : หอศิลป์จามจุรี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
--
ส.ศิวรักษ์ เปิดงานให้ สุชาติ สวัสดิ์ศรี
สุชาติเฟลเลีย : SUCHARTFAILURE
[จิตรกรรมไตรภาค SUCH – ARTFAILURE]
งานแสดงภาพเขียน “ภาคสาม” ของ สุชาติ สวัสดิ์ศรี
สีและขาวดำจำนวน 60 ชิ้น
2 – 28 ธันวาคม 2548
หอศิลป์จามจุรี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย [ชั้น 1 : ห้องนิทรรศการ 1 – 2]
เปิดงาน : วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม เวลา 18.00 น.

“I’d like to introduce myself as the most successful failure.”
“ข้าพเจ้าขอแนะนำตัวเองในฐานะคนล้มเหลวที่พบความสำเร็จอันยิ่งใหญ่”
ประธานเปิดงาน : ส.ศิวรักษ์
สุชาติ สวัสดิ์ศรี : แสดงสด

I’M WORRIED THAT I’M NOT POLITICAL ENOUGH. [HA! HA!]
ข้าพเจ้ากังวลที่ข้าพเจ้าการเมืองไม่เพียงพอ(หุย! ฮา!)


ติดต่อสุชาติ สวัสดิ์ศรี : ตู้ ปณ.1143 ปท.ดอนเมือง กรุงเทพฯ 10211 และ suchart1143@yahoo.com

วสันต์ สิทธิเขตต์ การเมืองเรื่องศิลปะ

วสันต์ สิทธิเขตต์ การเมืองเรื่องศิลปะ
11 กันยายน พ.ศ. 2550 . โดยกรุงเทพธุรกิจออนไลน์


ศิลปินบางคนเลือกจะสร้างผลงานที่นำเสนอความงามเพื่อกล่อมโลกให้รื่นรมย์ ขณะที่อีกบางคนเลือกทำงานศิลปะเพื่อวิพากษ์วิจารณ์ และชี้ให้ผู้คนมองเห็นถึงความเป็นจริงและปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคม ชาธิป สุวรรณทอง คุยบางคำกับ วสันต์ สิทธิเขตต์ ศิลปินฮาร์ดคอร์เจ้าของ รางวัลศิลปาธร ประจำปี 2550

จากอำเภอชุมแสง นครสวรรค์ เขาเดินทางมาศึกษาศิลปะที่วิทยาลัยช่างศิลป์ กรมศิลปากร กรุงเทพฯ ก่อนจะใช้ชีวิตเป็นศิลปินอิสระ ไม่จำกัดรูปแบบและประเภทของผลงาน ไม่ว่าจะเป็นจิตรกรรม ประติมากรรม ภาพพิมพ์ไม้ ศิลปะการแสดงสด วิดีโออาร์ต สื่อผสม บทกวี บทเพลง วรรณกรรม วรรณกรรมเยาวชน และล่าสุดกับ ‘หนังตะลึง’ (ญาติห่างๆ ของหนังตะลุง)

30 ปีที่กับการทำงานศิลปะชี้ปัญหาสังคมในฐานะศิลปินอิสระควบคู่กับการเคลื่อนไหวการเมืองภาคประชาชน 'ดิบ เถื่อน หยาบช้า อนาจาร' ข้อหาเหล่านี้เคยถูกประทับให้กับ วสันต์ สิทธิเขตต์ มาแล้วทั้งสิ้น เคยแม้แต่ถูกแจ้งความดำเนินคดีฐานดูหมิ่นศาสนา แต่ความจริงจังและชัดเจนของแนวทางการทำงานศิลปะทำให้เขาได้รับรางวัลทางศิลปะระดับชาติและนานาชาติ อาทิเช่น รางวัลกวีโลกจาก สภากวีโลก (International poet Academy of India) รางวัลศิลปินเพื่อสันติภาพและความเป็นธรรม (มนัส เศียรสิงห์) และล่าสุดเขาเป็นหนึ่งในศิลปินร่วมสมัยผู้ได้รับรางวัล 'ศิลปาธร' สาขาทัศนศิลป์ ประจำปี 2550

รางวัลที่ว่ากันว่าเป็นเหมือนก้าวสำคัญสู่การเป็นศิลปินแห่งชาติ

ความรู้สึกที่ได้รับรางวัลศิลปาธร?

วสันต์ : ตอนที่มีการตั้งรางวัลนี้ขึ้นมา ก็คิดว่าคงจะได้ตั้งแต่ปีแรกเลยแต่ก็ไม่ได้ คิดว่าถ้ากรรมการชุดเก่าอยู่ก็คงไม่ได้แล้ว แล้วก็อายุจะเกินแล้วด้วยเพราะ 50 แล้ว ก็คงต้องรอศิลปินแห่งชาติ แต่ก็คงไม่ถึง อาจจะเป็นศิลปินแห่งชาติหน้า ผมคงตายก่อนเพราะใช้ชีวิตโชกโชนขนาดนี้มันก็คงตายเร็ว อายุ 50 แล้ว แต่ถ้าไม่ตายซะก่อนก็คงได้เพราะหมดคนแล้วนี่

การทำงานศิลปะในประเทศนี้ก็คือการดิ้นรน ปากกัดตีนถีบด้วยตัวเองทั้งนั้นละฮะ ทำงานเพื่อยืนยันความคิดตัวเองว่าเรามองโลก มองสังคมอย่างไร กว่าคนจะได้ยินเสียงเรา ฟังความคิดที่เราร้องตะโกนนี่มันก็ใช้เวลามากฮะ แต่การให้รางวัลบ้านเราก็ยังเป็นเรื่องวูบวาบชั่วคราว อาจจะมีพิมพ์หนังสืออะไรขึ้นมา แต่ประเด็นคือการเอางานไปเผยแพร่สังคม มันต้องผ่านสื่อให้คนได้รู้ ไม่ใช่แค่รู้ว่าชื่ออะไรได้รางวัลอะไร แต่มันต้องรู้ว่าชื่ออะไรและมันคิดอะไร และมันสร้างสรรค์อะไรขึ้นมาหาพระแสงอะไรไอ้คนนี้ เขาคิดอะไรกับสังคม เขามีความหวังอะไรกับสังคม ผมคิดว่าต้องทำให้เห็นว่ามนุษย์คนหนึ่งมันไม่ได้คิดจะมาหาเงินอย่างเดียว ไม่ได้เกิดมาเพื่อขี้รดโลกนี้

งานศิลปะมีหลากหลาย อะไรทำให้เลือกทำงานแนววิพากษ์สังคม?

วสันต์ : จุดมุ่งหมายในการทำงานศิลปะของผมก็มีมาตั้งแต่ช่วงเรียน ตอนนั้นผมไม่ได้สนใจการเมืองแต่สนใจธรรมะ ก็อ่านท่านพุทธทาส อ่านปรัชญาศาสนามาก เพราะเราสนใจว่าแก่นสารชีวิตมันคืออะไร

ตอนที่เกิดเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 เพื่อนๆ ที่ทำงานศิลปะหลายคนก็ถูกจับเพราะไปเขียนคัตเอาท์ที่ธรรมศาสตร์ เรามาเห็นการฆ่ากันในทีวีตอนเช้าวันที่ 6 ไม่อยากเชื่อว่าเมืองพุทธจะมีการทำความโหดร้ายกับนักศึกษาที่ปรารถนาดีต่อสังคม มันทำให้ความเชื่อในศาสนาเดิมของผมเปลี่ยน ทำให้ผมรู้สึกว่าความทุกข์มันไม่ได้อยู่ที่เราคิดว่ามันทุกข์ ความทุกข์มันเกิดเพราะมีคนมากระทำให้เราทุกข์ ถ้าคิดแบบพระคนมาเตะเราเราต้องคิดว่าไม่เจ็บ แต่จริงๆ มันเจ็บนี่หว่า คนมาแขวนคอเรา เอารองเท้ามาตบเราเจ็บนะ

ตอนนั้นผมอายุ 19 ก็มาคิดว่าศิลปินต้องรับผิดชอบสังคม เพราะศิลปินก็คือพลเมืองในสังคมเดียวกัน ชาวบ้านทำมาหากินตามอาชีพ ศิลปินก็ทำหน้าที่มองโลก เข้าใจโลก มองเห็นแล้วก็มีทัศนะต่อโลกออกมา จะเป็นบทกวี จะทำหนัง หรืออะไรก็แล้วแต่ เราไม่ได้คิดว่าจะกล่อมโลกให้รื่นรมย์อย่างเดียว เรามองว่าโลกมันเป็นอย่างไร สังคมมันเป็นอย่างไร เราเชื่อว่าศิลปะนี่เป็นกระบวนการหนึ่งที่จะให้สังคมเรียนรู้ตัวเอง ให้คนได้สะดุดคิดว่าเราอยู่ตรงไหนกัน เรากำลังจะไปทางไหนกัน แล้วการปกครอง การเมือง อำนาจที่มันเป็นอยู่มันเอื้ออำนวยต่อบ้านเมืองไหม ต่อคนทุกคนไหม หรือต่อใคร กลุ่มไหน

จากจุดนั้นก็เลยทำงานศิลปะเพื่อกระทุ้งสังคมมา 30 ปี?

วสันต์ : 30 กว่าปีที่ผ่านมาก็เหมือนกับเราได้เห็นแล้วเราก็ย้ำทำอยู่แต่เรื่องนี้ พูดซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่เราศึกษาเรื่องวิธีการตลอดเวลาว่าจะสื่อสารออกไปอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ ละคร เพอร์ฟอร์แมนซ์ (ศิลปะการแสดงสด) หนังตะลุง ทำทุกอย่าง แต่เนื้อหาก็คือทำอย่างไรจะเปิดโปงอำนาจที่ชั่วช้านี่ให้มันล่อนจ้อนที่สุด ให้มันอ่อนแอที่สุดเท่าที่พลเมืองกระจอกอย่างเราจะทำได้ เพราะว่ามนุษย์เราอยู่ในโลกชั่วขณะเท่านั้นเดี๋ยวก็ตาย ถ้าจะเราจะมาอยู่หายใจรดโลกเฉยๆ หรือมาเอารัดเอาเปรียบก็ไม่ควรน่ะ ไปฆ่าตัวตายซะ เราควรจะมีสติว่าจะรับผิดชอบต่อสังคมที่เราอยู่ได้อย่างไร

ที่ผมพร่ำร้องตะโกนมาน่ะ มีคนร้องตะโกนมาก่อนผมเป็นร้อยๆ พันๆ ปี ผมคิดว่าผมก็เป็นเสียงหนึ่งที่ประสานกับคนอื่นเพื่อจะถามว่าความถูกต้องดีงาม ความยุติธรรมคืออะไร ในฐานะศิลปินเราก็บันทึกเรื่องราวที่เกิดขึ้น และชี้ทิศทางว่าเราจะไปกันอย่างไร จะหาทางออกร่วมกันอย่างไร

ผมเดินทางไปทั่วโลกนี่ผมได้เห็นว่าอำนาจการเมืองการปกครองมันได้รับการสนับสนุนจากทุนทั้งนั้น ระบบอำนาจรัฐของเราเองก็เอื้ออำนวยกับคนรวยกลุ่มน้อยเท่านั้น บ้านเมืองเราก็ย่อยยับ ทุกวันนี้เราก็สะท้อนใจทุกครั้งที่เห็นพ่อเฒ่าต้องมาเป่าแคนตามสะพานลอย ทำไมคนปลูกข้าวแต่ไม่มีข้าวกิน เป็นไปได้ยังไง แค่นี้เราก็ได้คิดแล้วว่าสังคมเราวิปริตมานานแล้ว คนบ้ามากขึ้น คนนอนข้างถนนมากขึ้น นี่คือไฟที่ทำให้ผมทำงาน ทำให้เราเริ่มขยับพู่กัน หรือคิดจะต่อสู้กับอำนาจระยำพวกนี้

ต้องการสังคมที่ดีกว่า แต่จะเป็นจริงได้แค่ไหน?

วสันต์ : เหมือนเราร้องเพลงถ้าแฟนเพลงเอาด้วยมันก็มันส์สิครับ แต่เราไม่ได้อยู่ในกระแสหลัก เราเป็นกระแสของการคิดต่าง นอกคอก เพราะเราถอยออกมามองว่า เฮ้ย โลกมันกำลังหมุนไปทางไหน มันหมุนลงนรกกันนี่หว่า เราก็เป็นเหมือนผู้เฝ้ามองแล้วเปิดโปง วิพากษ์วิจารณ์ และชี้ทางว่ามันควรจะเป็นอย่างไร ผมคิดว่านั่นคือหน้าที่ของมนุษย์ทุกคนไม่ใช่เฉพาะศิลปิน ถ้าผมเป็นพี่เบิร์ดคนก็คงฟังผม เต้นตามผม แต่คนคงอยากฟังเพลงรักกันมากกว่าจะมาฟังเพลงปฏิวัติ หรือชวนถล่มนักการเมืองกัน

30 ปีที่ผ่านมาผมเหมือนเกิดมาเพื่อเป็นพยานของหายนะที่เกิดขึ้น งานผมอาจจะเป็นบันทึกให้มนุษย์รุ่นหลังได้เห็นความหายนะของสังคมเท่านั้นเอง หรือมนุษย์รุ่นหลังอาจจะไม่มีแล้วก็ได้ อาจจะสูญพันธุ์กันหมดแล้วก็ได้

มองการเมืองวันนี้อย่างไร?

วสันต์ : ทุกวันนี้ถ้าออกจากกรุงเทพฯ ไป ในสังคมชนบทคนก็ยังมีจิตสำนึกแบบชาวนา ทำไมคนอีสานยังรักทักษิณ ชาวบ้านไม่รู้การเมืองคืออะไร นักการเมืองมางานบวชเอาเหล้ามาให้ 2 ลังก็เลือกกันไปนิรันดร ยันลูกหลานเหลนโหลนภายหน้า มันคือระบบบุญคุณน่ะ เราต้องสอนกันใหม่ว่า การเนรคุณต่อคนชั่วเป็นคุณธรรม แล้วจะมองอย่างไรว่ามันชั่วก็มันเอาของมาให้เราน่ะ ก็ต้องมองต่อไปว่ามันดีกับเราแต่มันไปทำชั่วที่อื่นน่ะ

ทุกวันนี้เรายังไม่มองปัญหาหลักๆ ของสังคมเราเลย ปัญหาที่ดิน ปัญหาหนี้สิน ปัญหาสวัสดิการ การเก็บภาษีควรจะเก็บแบบก้าวหน้า ใครรวยเก็บมาก วัฒนธรรมการคดโกงในสังคมไทยจะหมดไปได้ยังไง เพราะทุกวันนี้คนมีอำนาจก็รับเงิน นักการเมืองก็ตั้งท่ากลับมาข่มขืนประเทศเราใหม่ แล้วเราภาคประชาชนจะทำยังไง ให้คนเข้าใจว่าการเมืองประชาชนต้องมีส่วนร่วม ทำยังไงไม่ให้เอาพวกโจรเข้ามาอีก หรือถ้าเราจะรณรงค์ว่า ไม่เลือกตั้งเลย มึงให้เลือกกูไม่เลือกเพราะพวกมึงเห้ทั้งนั้น

การเลือกตั้งไม่มีความหมายเลยเพราะมันต้องผสมพันธุ์กันแน่ นี่ผมก็กำลังจะไปจดทะเบียนตั้ง ‘พรรคศิลปิน’ เพื่อให้เรามีโอกาสพูดบ้างว่า นักการเมืองที่เตรียมจะผสมพันธุ์กันน่ะเลิกคิดได้แล้ว ประชาชนไม่เอาอีกแล้ว หลายสิบปีที่ผสมพันธุ์กันข่มขืนบ้านเมืองมานี่ พอแล้ว อีกอย่างบัญชีหนังหมาต้องติดให้ทั่วเลยว่านักการเมืองตระกูลนี้มันโกงอะไรมาบ้าง ฆ่าใครมาบ้าง ออกทีวีทุกวันหลังข่าวไปเลย ไอ้พวกนี้จะได้ไม่ต้องเอาเข้ามาอีกแล้ว

ชาวบ้านรู้แต่ไม่มีทางเลือก ประชาธิปไตยแบบนี้มันไม่ได้ สังคมเราทำร้ายตัวเองเหมือนผู้หญิงที่ต้องไปแก้ผ้าปีนต้นไม้เพื่อให้ได้รับการสนใจ อันนี้เป็นการทำร้ายตัวเอง แต่อีกหน่อยอาจจะเป็นเหมือนนายโชนักเรียนที่เวอร์จิเนียที่เอาปืนไปยิงเพื่อนก็ได้ นี่ผมก็ทำงานเรื่องโชไปแสดงที่ปักกิ่งเพื่อจะบอกว่าโชก็คือตัวแทนความป่วยไข้ของยุคสมัย

ตอนนี้คนอาจจะเชิญทักษิณไปสอนตามมหาวิทยาลัยต่างๆ วิธีใช้นโยบายประชานิยมใช้อย่างไร แต่มันเป็นการออกไปเพราะทหารไล่ ไม่ใช่ประชาชนไล่ ซึ่งมันอธิบายกับคนอื่นยาก ผมยังอธิบายเพื่อนยากเลย เพื่อนยังถามผมรักการรัฐประหารเหรอ ผมบอกเราไม่ได้เห็นด้วยกับการรัฐประหาร แต่เราเห็นว่าความชั่วช้าของระบอบประชาธิปไตยโดยนายทุนมันชั่วช้าที่สุดในโลกแล้ว ตั้งแต่มีการปกครองระบอบประชาธิปไตยมา

ก็เลยคิดจะตั้ง 'พรรคศิลปิน' เพื่อเคลื่อนไหวทางการเมือง?

วสันต์ : เรื่องพรรคศิลปินมันเกิดช่วงเลือกตั้งครั้งที่ 2 ของทักษิณ ประมาณปี 2547 ตอนนั้นเป็นประเด็นทำงานศิลปะของผมนะ ตอนนั้นเราคิดว่าน่าจะเปิดประเด็นใหม่ คิดนอกกรอบบ้าง เพราะนักการเมืองก็จะบอกว่าประชาชนเลือกเข้ามา มันต้องจ่ายหัวคะแนนให้ไปจ่ายคนอื่นต่ออีก ถ้าเป็นอย่างนี้มันจะพัฒนาการเมืองได้อย่างไร

ใครล่ะจะเป็นคนทำให้เห็นปัญหา ก็ต้องเป็นนักวิชาการ แต่นักวิชาการไทยมันก็น้อยเต็มที เอาเข้าจริงนักวิชาการไทยก็ดีแต่ “ตามทฤษฎีประชาธิปไตยแล้ว การรัฐประหารเป็นความผิด” ไอ้...นักวิชาการส้นมือพวกนี้ ท่านก็ควรจะเรียนต่อไปนะ เรียนให้จบร้อยปริญญาไปเลย ไม่ต้องมาทำงานไม่ต้องมามองสังคม ความรู้แบบนี้รู้เพื่ออะไร สำหรับผมนะความรู้ต้องเพื่อเพื่อนมนุษย์ สติปัญญาเพื่อเพื่อนมนุษย์ ไม่ใช่เพื่อหาทางมากอบโกย เราต้องการให้คนเผชิญหน้ากับความเป็นจริง คุณต้องเปิดโปงความชั่วช้าของระบบคนกินคนให้คนเข้าใจ

ทีนี้ก็มาคุยกับเพื่อนว่า ต้องเอาจริงซะที เพราะเท่าที่มีอยู่ตอนนี้มันมั่ว กระสือทั้งนั้นเลย คนเราไม่มีทางเลือกเลย จริงๆ ตั้งพรรคศิลปินเราก็ไม่มีตังค์ไปลงเลือกตั้งหรอก 40 ล้านเราไม่มี เรามี 40 บาท แต่ถ้าเราคิดว่าพรรคศิลปินถ้าหม่ำ เท่ง โหน่ง มากับเรา พงษ์สิทธิ์ พงษ์เทพ หงา คาราวาน ตลกทั้งหลาย ศิลปินทั้งนั้น ครูเพลงอีสาน ครูศิลปะนักเรียนศิลปะที่มีพ่อมีแม่เหมือนกันเนี่ยเขาก็คงจะเข้าใจว่า เออ ศิลปินคิดสร้างสรรค์ สร้างโลกสวยงามเป็นยังไง แต่โอกาสที่เราจะพูดกับสังคมมันน้อยมาก ก็คงรวมเพื่อนไปจดทะเบียนพรรคศิลปินไว้ก่อนจะไปแสดงงานที่เมืองจีน 19 กันยายนนี้

เพื่อนยังบอกไม่รีบจดเดี๋ยวแกรมมี่จดไปก่อนละหมดสิทธิสอบเลยนะ ก็อาจจะไปทาบทามพี่เบิร์ด แต่พี่เบิร์ดคงไม่เข้า

ตั้งพรรคศิลปินมาแล้วจะเคลื่อนไหวอย่างไร จะส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือเปล่า?

วสันต์ : ช่วง 5 ปีแรกคงไม่สมัคร แต่เราจะรณรงค์ทางภาคประชาชน เคลื่อนไหวทำดนตรี ทำละคร ทำสื่อต่างๆ เพื่อให้การศึกษากับชุมชน จะระดมทุนกันตามมีตามเกิดเท่าที่มี หรืออาจจะ เฮ้ย พี่หมู (พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ) ขายเทปได้ขอม้วนละ 50 สตางค์ พงษ์สิทธิ์ (คำภีร์) 50 สตางค์ ใช้เงินประชาชนเพื่อจะสร้างสังคมที่ดีขึ้นมา ตามความใฝ่ฝันของเราร่วมกัน ผมว่าถ้าเป็นแบบนี้มันก็สวยงาม

ตั้งแต่ผมจะตั้งพรรคแค่ติดโปสเตอร์ หรือแห่ขบวน ก็มีเพื่อนๆ ที่เคยซื้อรูปผมไปก็มาถาม วสันต์ต้องการตังค์มั้ย เขาจะมาซัพพอร์ต ผมก็ไม่เอานะ เพราะถ้าเกิดผมตั้งมาแล้วมีคนเลือกผมจริงๆ มันจะยุ่งเลย เกิดคุณมาขอให้ผมทำอะไรแล้วผมไม่ทำให้จะเนรคุณหรือเปล่าเนี่ย คุณมาให้ผมแล้วคุณหวังอะไรจากผม ถ้าคุณหวังเพื่อสังคมที่ดีงาม มีความยุติธรรม ถูกต้อง แบบนี้สลึงนึงก็ยินดีรับครับ แต่ถ้าหวังอย่างอื่นเป็นไปไม่ได้

ระยะหลังๆ ไม่ค่อยเห็นแสดงงานในเมืองไทย แต่ดูเหมือนว่าจะไปแสดงงานต่างประเทศบ่อยกว่า?

วสันต์ : ช่วงนี้ผมก็เพิ่งกลับมาจากไปแสดงงานที่ปักกิ่ง แล้วก็ที่บูดาเปสต์ เวียนนา ได้ไปเรียนรู้ว่าสังคมเขามีการให้ทุนมาสนับสนุนศิลปิน ศิลปินก็ทำงานตอบแทนให้กับชุมชน เดี๋ยวก็จะไปอีก จะไปแสดงเพอร์ฟอร์แมนซ์ที่ปักกิ่ง สิงคโปร์ แล้วก็อินโดนีเซีย

เราเดินทางก็เหมือนกับเราไปก็ไปสร้างเครือข่ายด้วย ศิลปินส่วนใหญ่ก็จะคิดเรื่องสังคมดีงาม คิดว่าสังคมจะดีขึ้นได้ยังไง แต่บางคนก็มองว่ามาแล้ววสันต์ ศิลปินล้าหลังจากประเทศด้อยพัฒนา ยังคิดเรื่องสังคมอยู่ขณะที่คนอื่นเขาไม่คิดแล้ว มันก็ต้องวิจารณ์น่ะ แล้วไม่ใช่วิจารณ์แต่สังคมไทย เราวิจารณ์โลกด้วย เราวิจารณ์การถล่มอิรักของอเมริกา วิจารณ์รัฐของอเมริกา เราวิจารณ์เวียนนา บูดาเปสต์ เราวิจารณ์ปักกิ่ง ไปที่ไหนวิจารณ์ที่นั่น

เรากำลังพูดถึงว่าไม่ใช่ประเทศไทยจะรอดอย่างเดียว ทั้งโลกมันต้องไปรอดด้วย การไปก็เหมือนกับไปพูดถึงว่าโลกเป็นอยู่อย่างไรแล้วเราจะทำอะไรร่วมกันได้บ้าง เหมือนเราไปจุดประกายไฟให้มันเกิดขึ้นในทุกหนทุกแห่งที่เราไป เราก็ได้เดินทาง ได้เห็น ได้คุยแลกเปลี่ยนด้วย ไม่ได้ไปเที่ยว

30 ปีที่ทำงานศิลปะวิพากษ์วิจารณ์สังคมการเมือง รู้สึกว่าชีวิตซีเรียสเกินไปไหม?

วสันต์ : โชคดีที่ผมศึกษาพุทธมาตั้งแต่ต้นทำให้เรารู้ว่าชีวิตมันคือความทุกข์น่ะ จะไม่ทุกข์ไม่ได้หรอก ตื่นเช้ามาก็ปวดฉี่แล้ว เดี๋ยวก็หิวต้องหาข้าวกิน ก็ต้องออกเดิน ต้องคิดว่ามีงานที่ไหนบ้าง มีนัดที่ไหน ต้องโทรศัพท์ ต้องส่งเมล ต้องติดต่อใคร วันหนึ่งก็มีแต่กิจกรรมที่จะต้องทำ เพราะฉะนั้นเราก็จัดการกับแต่ละวันไป จะแสดงงานเมื่อไหร่ก็เตรียมวางแผนงานนะครับ บางทีก็ไปร่วมงานกับเพื่อนที่กำลังจะสร้างหอศิลป์ที่กระบี่ ไปร่วมงานกับพี่น้องประชาชนที่บ่อนอกเพื่อรณรงค์ให้ความเป็นธรรมต่อทนายสมชายหรือเจริญ วัดอักษร

ผมคิดว่ามันเป็นหน้าที่ของการมีชีวิตอยู่ มันเป็นชีวิตไปแล้ว มันก็ไม่เครียดแล้ว

คำถามสุดท้าย ศิลปะในความหมายของวสันต์ สิทธิเขตต์ คืออะไร?

วสันต์ : เราก็ต้องการสื่อให้เห็นว่าศิลปะไม่ใช่การสร้างมายาภาพขึ้นมาเพื่อหลอกให้คนหนีไปจากความเป็นจริง ผมคิดว่ามนุษย์ต้องอยู่ในโลกของความเป็นจริง รู้จักปัญหา เผชิญหน้ากับปัญหาแล้วกลับมาแก้ปัญหาอย่างมีเหตุผล งานผมถึงพยายามชี้สิ่งที่เกิดขึ้น ที่มันเป็นอยู่ งานของผมอาจจะเน้นถึงความรุนแรง ความหยาบช้า แต่ความหยาบช้าทั้งหลายที่ระบบทุนหรืออำนาจชั่วร้ายที่มันทำต่อสังคมไทยมันรุนแรงกว่าที่ผมทำเป็นล้านๆ เท่า ความรุนแรงที่ปรากฏออกมาเป็นหายนะของบ้านเมือง หายนะของป่าไม้ ธรรมชาติ ท้องทะเล มันยิ่งกว่าความหยาบที่ออกมาเป็นตัวหนังสือหรือภาพเขียนที่แสดงออกมา

จริงๆ ผมไม่ได้ทำเพื่อคนอื่นเลย ผมทำเพราะผมไม่ยอมรับระบบจัญไรที่มันเป็นอยู่ในโลกนี้เท่านั้นเอง นั่นเป็นการพูดอย่างตรงที่สุดแล้ว ถ้าจะพูดว่ารักเพื่อนมนุษย์มันจะเว่อร์ไป ผมเลยขอพูดว่าผมรักตัวเอง พอรักตัวเองเลยคิดว่าตัวเราก็คือคนอื่นทั้งหมด

พลังของศิลปะคือความรักชีวิต รักตัวเองอย่างสูงสุด แล้วก็จะเข้าใจว่าตัวเองไม่มีอะไรเลย เราอยู่บนโลกแป๊บเดียว เพราะฉะนั้นการรักชีวิตแบบสูงสุดก็คือการพลีชีพเพื่อคนอื่น มันคือความหมายของการมีชีวิตอยู่ของศิลปิน

-------------------------------------------
ประวัติและบทสัมภาษณ์
วสันต์ สิทธิเขตต์ ( VASAN SITTHIKET )
โดย มติชนออนไลน์ วันจันทร์ที่ 17 เดือนกันยายน พศ. 2550

ภาพวาดโดยศิลปิน: ชาติชาย ปุยเปีย ชื่อภาพ: นักการเมือง : Technique: Oil on canvas Size: 72 x 60 cm

• แนวทางในการสร้างผลงาน /มองสิ่งที่มากระทบและสะท้อนอารมณ์ตัวเอง หรือสิ่งที่สะท้อนสังคมการเมือง


ก็เป็นเรื่องราวของชีวิตครับ เพราะเราเกิดในชนบทแล้วได้มาอยู่ในเมืองมันก็เห็นความต่างของสังคมระหว่างชนบทกับเมือง พอมาเรียนศิลปะที่กรุงเทพมันก็ยิ่งเห็นความต่าง และอีกสิ่งหนึ่งที่มีอิทธิพลต่องานของผมมาก็คืออัตชีวประวัติของ แวน โก๊ะ ที่เขาไปใช้ชีวิตในเหมืองแร่ มันทำให้เราคิดว่าศิลปะมันน่าจะช่วยมนุษย์ให้พ้นจากความทุกข์ยากได้ งานผมจึงเป็นเรื่องของคนอื่น สังคม งานชิ้นแรกๆ ก็เกี่ยวกับคนงานข้างถนน กรรมกร เด็กสลัม เราได้เข้าไปศึกษาชีวิตเขา ซึ่งผมก็ถือแนวทางนี้ปฏิบัติมาโดยตลอด ซึ่งงานส่วนมากมันก็สะท้อนอารมณ์ตัวเองหมด เพราะว่าเราสะเทือนใจต่อความอยุติธรรม ความไม่เท่าเทียมกันของสังคม ถ้าถามว่าสะท้อนเรื่องการเมืองไหม ผมว่ามันไม่ใช่เรื่องการเมืองโดยตรงนะ แต่มันคือชีวิต เพียงแต่มันกระทบกันโดยตรง ชีวิตมันถูกครอบงำด้วยการเมือง มันเลยส่งผลกระทบต่อชีวิต ทุกคนต้องขึ้นรถเมล์ไปทำงานอย่างทุกข์ทรมาน เพราะไม่มีที่นั่งพอสำหรับเขา สำหรับคนท้อง ซึ่งความโหดเหี้ยมที่เกิดขึ้นทุกวันนี้มันเหมือนกับเวลาเราไปทำงานคือการไปบำเพ็ญทุกขกิริยาเลยนะ แล้วตอนเย็นก็ต้องหลับคารถ นี่คือสิ่งที่สะเทือนต่อเราทุกคน มันเกี่ยวหมดทั้งการเมือง สังคม เศรษฐกิจ แต่เราไม่ค่อยรู้ งานของผมที่ทำก็เพื่อจะไปถมช่องว่างตรงนี้ อย่างในเชิงสังคม ทำไมเด็กผู้หญิงถึงต้องถูกข่มขืน กลับบ้านดึกๆ ก็อาจถูกมอเตอร์ไซค์จับนมได้ ถ้าเกิดสังคมมันดีงามมันเกิดความร่มเย็น ความเก็บกดทางเพศ หรือการเปิดเผยทางเพศ มันควรจะเป็นยังไง หรือว่าการฉ้อฉล การจับคนมาขายเป็นเครื่องบำบัดทางเพศมันเกิดขึ้นได้ยังไง ความยากจนเกิดขึ้นจากไหน มันเป็นเรื่องชีวิตภายใต้การเมืองทั้งนั้น ผมมองโลกในแง่นี้


งานของผมอย่างน้อยถ้าเยียวยาสังคมไม่ได้ มันก็เยียวยาตัวผมเอง มันดูรุนแรง แต่อย่างน้อยการได้เขียนรูปออกไปคือเรากำลังจะพูดว่าเราไม่เห็นด้วยกับมัน ไม่เห็นด้วยกับสังคมที่เอารัดเอาเปรียบกันแบบนี้ ไม่เห็นด้วยกับพระที่ไปข่มขืนเด็ก แล้วก็เขียนรูปออกมา คืออัดทันที อีกอย่างคือผมมองว่าสังคมไทยมันลักปิดลักเปิด ด้านหนึ่งก็พูดถึงศีลธรรมอันดีงาม แต่อีกด้านหนึ่งก็ชั่วช้าฉ้อฉลอยู่ตลอดเวลา มันก็คือการเปิดโปงความฉ้อฉลเหล่านี้ อย่างตอนที่มี Dictionary เล่มหนึ่งที่ให้ความหมายของกรุงเทพว่าเป็นเมืองเซ็กส์ เราไม่ยอมให้ Dictionary เล่มนั้นเข้ามาเผยแพร่ในประเทศ ซึ่งผมได้ยินดีเจในวิทยุพูดตลอดเวลาว่า ไม่ได้ ไม่ยอม เราเป็นคนไทยจะยอมได้ไง แต่ผมไม่เห็นด้วย ถ้าเราไม่เผชิญหน้ากับปัญหา ถ้าเราไม่ยอมรับแล้วเราจะแก้ปัญหาได้อย่างไรล่ะ ถ้าเราไปเดินรอบสนามหลวงตอนดึกๆ ก็จะมีแต่ผู้หญิงไปขายตัวทั้งนั้น แล้วนี่มันคืออะไรล่ะ จะบอกว่าสังคมไทยไม่มีโสเภณีหรือ เมื่อปี 2537 ที่มี Dictionary เล่มนี้ ผมก็เขียนภาพเพื่อที่จะตอบโต้วิธีคิดแบบนี้ ว่าเฮ้ย มันไม่ใช่นะ เราต้องเผชิญหน้ากับปัญหา เราถึงจะแก้ปัญหาได้ การปกปิดมันไม่ได้แก้ปัญหาอะไรเลย นี่เป็นสิ่งที่สวนทางกับขนบอยู่แล้ว ผมว่าการสร้างศิลปะมันไม่ใช่แค่การเขียนรูปให้สวยเท่านั้น เรากำลังสร้างความคิดใหม่ๆ ข้อถกเถียงใหม่ๆ ให้กับทุกคนด้วย หมายถึงศิลปะทุกแขนงนะครับ

• อยากให้พูดถึงการทำงานที่เน้นความฉับไวที่ทันต่อเหตุการณ์


ผมก็เป็นศิลปิน เอ็กเพรสชั่นนิสม์ คือเรารู้สึกเร็วก็โต้ตอบออกมาเร็ว ไม่อยากอ้อมค้อม เพราะสังคมไทยมันอ้อมค้อม ความจริงอยากจะใช้ภาษาให้น้อยที่สุดด้วยซ้ำ ผมคงเป็นคนซีเรียวกับชีวิตตั้งแต่เด็กๆ เพราะได้อ่าหนังสือ เดินทาง พูดคุย ทำงาน ทะเลาะเบาะแว้ง ถูกต่อต้าน มันเลยเห็นอะไรต่างๆ อย่างรวดเร็ว แต่สิ่งที่ทำก็ขอยืนยันว่าไม่มีพิษมีภัย มันคือการพูดถึงชีวิต สิทธิเสรีภาพ ที่จะไม่ไปเบียดบังหรือทำร้ายคนอื่นๆ มันเป็นสิ่งที่ทำได้เลย ไม่อยากจะรอคอยผู้นำคนไหนมาทำ ผมอยากจะทำเป็นตัวอย่าง

• ศิลปะกับการเมืองมันมีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร


ศิลปินก็เป็นคนหนึ่งในสังคม สังคมที่เราร่วมกันอยู่ เสื้อผ้าที่ผมใส่ก็ไม่ได้ทอขึ้นมา ผมไม่สามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ด้วยตัวเอง เมื่อตอนเรียนศิลปะแรกๆ ผมก็ไม่อยากอยู่ในสังคมแบบนี้ ไม่รู้จะอยู่ทำไม เกิดมาต้องหาเงินเลี้ยงชีพ อยู่ในครอบครัว แต่ถ้าผมอยากเดินทาง เขียนบทกวี ออกท่องเที่ยวมันเป็นไปไม่ได้เลย ถ้าจะเป็นแบบนั้นเราก็ต้องอกไปอยู่นอกสังคม ไปอยู่กับสัตว์ หญ้า เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเกี่ยวข้องกับสังคมเลย แต่มันอยู่ไม่ได้ เราก็ต้องหันหลังกลับมาในสังคมอยู่ดี เพราะฉะนั้นเราเป็นมนุษย์ที่อยู่ในสังคม เราก็ต้องรับผิดชอบต่อสังคมที่เราอาศัยอยู่ อย่างน้อยที่สุดคือมีอาชีพพอเลี้ยงตัวได้ มีชีวิตอยู่เพื่อบางสิ่งบางอย่าง ไม่อย่างนั้นจะอยู่ทำไม เด็กๆ เกิดมาก็น่าจะได้อยู่ในระบบการศึกษาที่ดีกว่านี้ สอนให้เข้าใจชีวิต รู้จักสิทธิของตัวเองที่จะไม่ยอมให้ใครมาฉ้อฉล มาใช้อำนาจ กดขี่ เอารัดเอาเปรียบเราได้ ถ้าทำแบบนั้นไม่ได้ก็อย่าไปมีครอบครัวเลย เพราะไม่อย่างนั้นคุณก็จะผลิตคนชั่วช้าขึ้นมาในสังคมอีกคนหนึ่งเท่านั้นเอง นั้นคือสิ่งที่ผมคิด แล้วงานศิลปะมันก็ออกมาเพื่อยืนยันในสิ่งที่เราเชื่อ มันเป็นหน้าที่ของทุกคนนะ นอกจากเรามีเสรีภาพแล้วก็ต้องมีความรับผิดชอบด้วย และสิ่งที่ผมประกาศออกมาเป็นชิ้นงานผมก็รับผิดชอบมันต่อการเผชิญหน้าต่อความเชื่อด้วย ถ้ามันไปท้าทายต่อศีลธรรมเราก็พร้อมที่จะให้คำตอบต่องานที่ทำว่าเราทำเพื่ออะไร ยังไงมันก็ต้องเกิดความขัดแย้งอยู่แล้วในเมื่อมนุษย์เป็นสัตว์ที่มีเหตุผล มันจึงเป็นการเปิดประเด็นถกเถียงเพื่อจะหาทางออก ไม่อยากให้ทุกคนอยู่ในมายาภาพ ศิลปะมันจึงเป็นตัวฉีกหน้ากากให้พ้นไปจากมายาภาพตรงนี้ มีเสรีภาพไปจากความมดเท็จ

• เวลาทำงานเรื่องพื้นที่เป็นเรื่องจำเป็นไหม


มันไม่จำเป็นเท่าไหร่ แม้ว่าผมจะเป็นคนต่อสู้เพื่อเรียกร้องหอศิลป์ แต่หอศิลป์ในไทยมันไม่มีเลยไง แต่ที่เราเรียกร้องเพราะมันเป็นโครงการซึ่งมันมีมาอยู่ก่อนจนได้มาก็ต้องต่อสู้ต่ออีก เพราะการบริหารจัดการบ้านเรายังขาดแคลนบุคลากรมาก ศิลปิน กวี ก็น้อย เรามีคน 60 ล้านคน แต่ทำไมกระบวนการสร้างสรรค์มันมีน้อยเหลือเกิน หรือว่านักการเมืองที่ดีแทบจะไม่มีเลย ในสังคมมันสิ้นหวัง ในฐานะที่เราทำงานแนวทางสื่อความสร้างสรรค์ทางความคิดในสังคม ผมอยากจะกระตุ้นให้คนรุ่นใหม่หรือชุมชนได้ตระหนักและคิดถึงกันว่าเราจะอยู่ร่วมกันได้อย่างไร มันมีทางออกที่ดีกว่านี้มั๊ย ในระบอบประชาธิปไตยที่มีการเลือกตั้ง นักการเมืองรวยขึ้นแต่ประชาชนจนลง กระบวนการประชาธิปไตยเรามันผิดพลาดตรงไหน โครงสร้างอำนาจนิยมที่กลืนกินท้องถิ่น พวกนี้มันต้องล้างบางให้หมด เราต้องขุดโค่นพวกนี้โดยภาคประชาชน ไม่ใช่คนมีอำนาจเป็นไฮโซแล้วประชาชนต้องมุดรูไม่กล้าพูดอะไร แล้วสังคมมันจะน่าอยู่เหรอ ผมก็เสี่ยง แต่ก่อนก็กลัวตายเหมือนกัน แต่พอเหตุการณ์พฤษภาก็ไม่กลัวอีกแล้ว ตายก็ดีเหมือนกันจะได้ไม่ต้องเขียนรูปต่อไป งานที่สร้างจึงเป็นเชิงวิจารณ์สังคม ชี้ทางสังคมที่ดี ศิลปะทุกสื่อที่ทำก็เพื่อจะไปกระทุ้งทุกภาคสื่อให้มองว่านี่มันคืออะไร เพราะฉะนั้นการเรียกร้องของผมจึงไม่ใช่การให้ความสำคัญกับพื้นที่ แต่เป็นเรื่องสังคมมากว่า

• ขอบเส้นของวัฒนธรรม จารีตประเพณีและความเหมาะสมในแง่ของสังคมไทย บางส่วนอาจรู้สึกต่อต้านผลงานของคุณวสันต์ สิ่งนี้มีผลกระทบต่อการสร้างงานอย่างไร


ผมเคยถูกฟ้องประหารชีวิต ว่าผมวิจารณ์พระเรื่องพระข่มขืนเด็ก 8 ขวบ คนก็เข้าใจผิดว่าผมไปปกป้องพระรูปนั้นเพราะมีพระหัตถ์ของพระพุทธเข้าอยู่ คือเขาไม่เห็นรูปใหญ่ว่าเป็นพระพุทธเจ้าเสด็จมากรุงเทพในช่วงที่บ้านเมืองมีการฆ่า มีพระข่มขืนเด็ก รูปนั้นผมเขียนทั้งปีเพื่อบันทึกสิ่งที่เกดขึ้นในสังคมไทย คนกว่า 90 % เป็นพุทธศาสนาแต่ก็ยังฉ้อฉล ขี้โกง เรารู้แต่ปากเรื่องธรรมะแต่เรากลับไม่ปฏิบัติกันเลย หรือเอาแต่สอนว่าพระพุทธเจ้าเกิดที่ไหน ปรินิพพานที่ไหน ตรัสรู้วันไหนเท่านั้น แต่กลับไม่มีแก่นสารธรรมมะให้เลย สิ่งที่เป็นอยู่มันน่าสมเพชไหม ระบบการศึกษาที่ไม่มีประโยชน์เลย แล้วสื่อเรามีไม่รู้ตั้งกี่ช่อง แต่มาสอนเต้นรำ เลียนแบบเพื่อชิงเงิน 5, 000 บาท ซึ่งมันไม่มีประโยชน์เลย แล้วก็ล้างสมองเด็กให้เป็นคนตายอย่างนั้นเหรอ ทำไมไม่มาแข่งความดีงาม ความคิดสร้างสรรค์ มันมีแต่การเลียนแบบแค่นั้นเอง


บางคนก็คิดว่าผมเป็นคนไทยรึเปล่า แต่ผมอยากจะบอกว่าศีลธรรมอันดีงามของวัฒนธรรมไทยมันคืออะไรกันแน่ มันจับต้องได้จริงหรือ ถ้าเราบอกว่ามันคือการไหว้เบญจางค์ประดิษฐ์หรือการรำไทย นุ่งโจงกระเบน นั่นคือฉากเปลือก คนไทยสมัยก่อนที่นุ่งผ้าเตี่ยวไม่สวมเสื้อแล้วอยู่ดีๆ ก็มาใส่ชุดสูทในทันที มันสับสนไปหมด และความหลากลายของวัฒนธรรมไทยเองไม่ว่าจะเหนือ ใต้ ออก ตก เราเคยทำให้เขาภาคภูมิใจกับวัฒนธรรมของตัวเองบ้างไหม หรือว่าเราไปทำลายความภาคภูมิใจจนเขาไม่รู้จะทำอะไรกันแล้ว แล้วเราบอกว่าสังคมไทยอ่อนแอมากไปเลียนแบบญี่ปุ่น ฝรั่ง เกาหลีทุกวันนี้มันคืออะไร มันสะท้อนถึงสังคมไทยว่าไม่มีแม่แบบเลย ทุกคนอยากจะมีชุดของตัวเอง แต่เราก็ใส่หลุยส์ วิตตอง ใส่เสื้อป้าแบรนด์เนม มันสะท้อนถึงความไม่มีตัวตนของเราเลย ความเป็นดีไซน์เนอร์ในตัวเราเองมันมีอยู่หรือเปล่า เราคิดว่าเราจะเป็นศูนย์กลางของแฟชั่น มนโกหกทั้งเพ เป็นไปได้ไงในเมื่อเราเป็นหัวขโมย แล้วเราจะบอกว่าเราเป็นสุดยอดได้ไง ไม่เมื่อตัวรัฐเองไม่ได้สนับสนุนไอ้กระบวรการที่ทำเลย อิตาลีเขามีเรื่องรองเท้า ฝรั่งเศสมีน้ำหอม แต่สิ่งเหล่านี้เขาก็สั่งสมมาเป็นร้อยปี แต่สิ่งที่เราไม่เคยสั่งสมและเราดูถูกตัวเองจนถึงวันนี้จะทำยังไง ลิเก ตะลุง ลำตัด จะฟื้นฟูได้ยังไงในเมื่อคุณไม่ให้เนื้อหาความอิสระเลย คุณให้เนื้อหายกย่องคนนู้นคนนี้ไปเรื่อยเปื่อยแต่มันไม่มีความหมาย คุณไม่ให้ความรักละอิสระในการสร้างแก่เขา มันเป็นสิ่งที่ขาดไป เราพูดถึงแต่สิ่งที่ฉาบฉวยในขณะที่ไม่พูดถึงตัวแก่นสารที่แท้จริง ตัวความรักต่อสิ่งที่เราทำ ดังนั้นเสียงวิพากษ์วิจารณ์มันก็ไม่ค่อยกระทบต่อการทำงานของผม เพราะเราคิดว่าเราไม่ได้เป็นคนดื้อด้าน แต่เราคิดและไตร่ตรองมาแล้ว สังคมไทยเป็นสังคมที่ต้องการการวิพากษ์ และมีเหตุผล นี่คือสิ่งที่จำเป็น ต้องบอกได้ว่าดีไม่ดีเพราะอะไร ไม่ใช่เชื่อในสิ่งที่คนอื่นพูดมา อาจารย์บอกมา หนังสือบอกมา สังคมที่ Independent ก็คือการเป็นตัวเองที่สำคัญที่สุดซึ่งเป็นพื้นฐานของประชาธิปไตย

• คุณวสันต์บอกว่างานศิลปะเป็นการดึงคนออกมาให้หลุดจากมายาภาพ แล้วงานศิลปะของคุณวสันต์ทำหน้าที่ตรงนั้นได้มากน้อยแค่ไหน


คืองานผมถ้าไปออกช่อง 3 ได้มันก็คงทุบหัวคนได้ เพราะเป้าหมายงานผมก็คือใช้ค้อนไปทุบหัวคน ไม่ใช่เอายาหอมไปใส่คน อยากให้คนได้ตั้งสติคิดใหม่ ถ้าเราคิดตามกรอบไปเรื่อยๆ ร่างรัฐธรรมนูญไปเรื่อยๆ เพื่อเอื้อประโยชน์กันเอง เราก็หูหนวกตาบอดต่อไป แต่อย่างน้อยงานผมทุบหัวผมได้ก็ยังดี ผมทำไปตามหน้าที่ของผมเท่าที่จะสามารถทำได้ และจะทำมากกว่านี้อีกถ้ายังไม่ตายไปเสียก่อน

• บางคนอาจมองว่าทำงานแบบนี้ชีวิตจะต้องเครียด ในมุมที่ไม่ใช่เวลาทำงานศิลปะ คุณวสันต์มีชีวิตอย่างไร


ผมก็ไม่ได้เครียดนะ ผมก็มองโลกด้วยความเป็นจริงว่าชีวิตคือความทุกข์ ผมก็เลยไม่ได้เกิดมาเพื่อแสวงหาความสุขอะไร อยู่ไปวันๆ ขับถ่าย หิวก็กิน ง่วงก็นอน องโลกในแง่ขบขัน บางทีก็มองว่าปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเรามีส่วนร่วมอะไรได้บ้าง บางทีพอเรารู้สึกต่อเหตุการณ์บางอย่างเราก็อยากแสดงออกไปเลย เป็นบทกวีบ้าง รูปบ้าง พูดคุยกับเพื่อนบ้าง หรือไม่ก็ออกเดินทาง ผมเองก็ไม่ค่อยมีโอกาส ได้เดินทางบ่อย ส่วนมากไปทำงานทั้งนั้น การศึกษาพุทธศาสนามาจึงเป็นหลักคิดให้ผมได้

• อยากให้พูดถึงงานศิลปะในแนวทางลักษณะเดียวกันกับเมืองไทย และเปรียบเทียบกับต่างประเทศว่าสภาพการณ์เป็นอย่างไรบ้าง


จริงๆ ตอนนี้บ้านเราก็พัฒนาไปมาก แนวศิลปะรุ่นใหม่หลายๆ คนก็มีความกระตือรือร้นและมีฝีมือ ผมเองก็พออยู่ได้เพราะมีการซื้อขายรูปบ้าง ไม่ได้ร่ำรวยอะไรพออยู่ไป แต่สิ่งที่เราเชื่อมั่นต่อศิลปะนี่แหละเป็นสิ่งที่หล่อเลี้ยงทำให้เรายืนอยู่ตรงนี้ ทำงานออกไปต่างประเทศ เช่น เกาหลี เบลเยี่ยม ออสเตรเลีย สเปน เพื่อให้ชาวต่างชาติได้ดู อย่างมณเฑียร นี่ถือว่าเขาเป็นคนบุกเบิกศิลปะร่วมสมัยออกไปต่างประเทศเลยก็ว่าได้ แต่ว่าโอกาสในการเอาไปเผยแพร่จริงๆ สำหรับศิลปินเล็กๆ แล้วมันน้อยมาก บางคนกลายเป็นศิลปินตกยุคไปเลยก็มี

• รู้สึกอย่างไรที่ได้รับรางวัลศิลปาธร


ก็ดีใจนึกว่าจะไม่ได้แล้ว นึกว่าจะต้องรอถึงศิลปินแห่งชาติแล้วอายุไม่ถึงแล้วตายก่อน ยินดีที่ได้รับรางวัลศิลปาธร ถือว่าเป็นรางวัลสำหรับศิลปินรุ่นกลางๆ ที่อายุยังไม่ถึงศิลปินแห่งชาติ เป็นการให้กำลังใจคนทำงานสร้างสรรค์ศิลปะในสังคม ซึ่งถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี อยากให้คนที่เป็นคนรุ่นหลัง น้องๆ ให้ความสำคัญกับดารทำงานศิลปะ เพราะบ้านเรายังขาดแคลนทางด้านศิลปวัฒนธรรมมานาน ศิลปินเองก็ต้องต่สู้ดิ้นรนด้ยลำแข้งตัวเอง เราเองก็ไม่ได้เป็นครูบาอาจารย์อะไรก็ถือว่าอยู่ในชีวิตที่ยากลำบาก สิ่งที่สร้างขึ้นมาก็อยากจะให้คนในชุมชน ในสังคม