ข่าวไทยรัฐออนไลน์:: ข่าวเศรษฐกิจ

วันเสาร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2554

ร่วมสร้างประเทศไทยให้น่าอยู่ ปฏิรูปการเมืองไทย เลือกตั้งไม่ใช่คำตอบ

ม่น่าแปลกใจที่เกิดเสียงวิเคราะห์วิจารณ์อย่างมากมายถึงการประกาศนโยบายของบางพรรคการเมือง ที่มิได้ก้าวข้ามแนวคิด “ประชานิยม” และเชื่อได้ว่า หลังการยุบสภาซึ่งคาดว่าประมาณวันที่ 6 พฤษภาคม 2554 ทุกพรรคการเมืองก็จะเร่งเครื่องเต็มที่เพื่อขอคะแนนเสียงจากประชาชนผู้มีสิทธิ์ทั่วประเทศด้วยสารพัดวิธี  จนถึงสารพัดวิชามาร
                มองมุมบวก  มันก็น่าจะสนุกนะครับสำหรับประชาธิปไตยแบบไทยๆ ที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งจะเดินออกทุกซอกซอย ทุกชุมชน  ยกมือไหว้พ่อแม่พี่น้องแบบที่เรียกว่าคลุกคลีตีโมงไม่มีคำกว่า ถือเนื้อถือตัว หรือเห็นการนั่งจกข้าวนึ่งข้าวเหนียวจิ้มแจ่วเป็นเรื่องสกปรก ขาดสุขลักษณะ ทั้งนี้เพื่อให้เข้าถึงใจประชาชน และเพื่อเป้าหมายได้เสียงเดินกลับไปเข้าสู่สภาหรือศูนย์กลางแห่งอำนาจรัฐ
                แต่ถ้าใครมองโลกในแง่ร้าย เห็นการพัฒนาการเมืองไทยเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่ายล่ะก็ เห็นทีต้องช้ำชอกหัวใจต่อไป  โดยเฉพาะกับข้อเท็จจริงที่ว่า นักการเมืองแทบทุกคนทุ่มความพยายามที่จะเอาชนะคะคานการเลือกตั้งโดยไม่สนใจเลยว่า  อนาคตของประเทศไทยจะเป็นอย่างไร         
                ผมเห็นแล้วก็เหนื่อยแทนสมัชชาปฏิรูปประเทศไทยเหมือนกันนะครับ  ที่กำลังพยายามสรุปข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับการทำประเทศไทยให้ดีกว่า  ข้ามพ้นปัญหาความเหลื่อมล้ำ  ก้าวสู่คุณภาพชีวิตที่มีสุขภาวะถ้วนหน้า  เพื่อนำเสนอเป็นกิจจะลักษณะให้พรรคการเมืองต่างๆหยิบไปใช้ทำเป็นนโยบายในการหาเสียงด้วยเล็งผลเลิศว่า  จะสามารถอาศัยอดีตผู้แทนราษฎรและผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้แทนราษฎรเหล่านี้ผลักดันขับเคลื่อนให้การปฏิรูปเป็นจริงโดยเร็ว และอย่างต่อเนื่อง
                ก็แหม...ผมยังไม่เห็นพรรคการเมืองไหนนำเสนอวาระแห่งชาติการปฏิรูปประเทศไทย เป็นประเด็นในการหาเสียง หรือบรรจุเป็นนโยบายที่ลืมไม่ได้เลย
เอาละ..การเมืองเรื่องประชาธิปไตยระดับชาติเน่าเหม็นน่าเบื่อ โทษกันไปโทษกันมา มันก็คงเหมือนหมาแมววิ่งงับหางตัวเองนั่นแหละ ผมเห็นว่าเราต้องพยายามคิดแบบที่ อาจารย์อเนก เหล่าธรรมทัศน์ เคยนำเสนอในเวทีงานฟื้นฟูพลังชุมชนท้องถิ่นสู่การอภิวัฒน์ประเทศไทยเมื่อเร็วๆ นี้ ว่า 
ประชาธิปไตยในประเทศไทยมี 3 ระดับ คือ ประชาธิปไตยระดับชาติ ประชาธิปไตยระดับท้องถิ่น และประชาธิปไตยระดับชุมชน
                ถ้าลองมองมุมนี้ เราก็รู้สึกมีกำลังใจครับว่า  การปฏิรูปการเมืองหรือการปฏิรูปประชาธิปไตยในประเทศไทยนั้น ทำได้  ด้วยความร่วมมือร่วมใจ  ด้วยการช่วยกันติดอาวุธทางปัญญาซึ่งกันและกัน
เหนืออื่นใดด้วยความเชื่อมั่น และศรัทธาว่า  คนไทยมีความสามารถที่จะกระทำได้   
                สอดคล้องกับที่อาจารย์ประเวศ  วะสี ประธานสมัชชาปฏิรูปประเทศไทยเพิ่งนำเสนอแนวคิดในการบรรยายพิเศษ “ประชาธิปไตยชุมชนในแง่มุมของคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูปประเทศไทย(คสป.)” เมื่อวันที่ 26 เมษายนที่ผ่านมาสดๆ ร้อนตามคำเชื้อเชิญของสภาพัฒนาการเมืองว่า ประชาธิปไตยจะต้องลงไปถึงระดับหมู่บ้าน ซึ่งเป็นสถานที่ที่มีการรวมผู้นำ ผู้คนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง มีความเป็นผู้นำตามธรรมชาติ ที่มีคุณสมบัติ 5 ประการ คือ 1.เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม 2.สุจริต 3.ฉลาด 4.สื่อสารเก่ง 5.เป็นที่ยอมรับ
คุณหมอ ตอกย้ำว่าประชาธิปไตยชุมชนเป็นประชาธิปไตยทางตรง อาศัยการรวมตัวกันทำงานของผู้นำองค์กรชุมชนโดยธรรมชาติ ไม่ต้องอาศัยการเลือกตั้ง เมื่อเรามีผู้นำตามธรรมชาติที่สุจริต มีส่วนร่วม ฉลาด สื่อสารเก่ง และเป็นที่ยอมรับ การทำงานแบบรวมศูนย์โดยชุมชนเพื่อชุมชนก็จะก่อร่างสร้างตัวขึ้น และมีพลังเพิ่มขึ้น  จนวันหนึ่งย่อมจะสามารถไปกดดันให้ประชาธิปไตยในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ ต้องเปลี่ยนแปลง      
“การขับเคลื่อนจากฐานล่างมาเป็นนโยบายระดับชาติได้ นั่นคือความสำเร็จของประชาธิปไตยจริงๆ ที่ชุมชนเป็นผู้สร้าง มีส่วนร่วมในการออกแบบบูรณาการ เป็นประชาธิปไตยสมานฉันท์ ไม่ใช่ประชาธิปไตยเพื่อเอาชนะ”
นับเป็นประโยคทองที่”โดนใจ” ผมสุดๆ เพราะยังคงมีคนมากมายในสังคมที่เชื่อหรือนึกว่า ประชาธิปไตยคือการเลือกตั้ง  หรือการเลือกตั้งคือการกำหนดชะตากรรมของประเทศ  อย่างน้อยที่สุด  การได้แบ่งประชาธิปไตยเป็น 3 ระดับก็จะทำให้เรามีทางออกที่จะค่อยเป็นค่อยไปในการพัฒนาหรือปฏิรูปการเมืองไทย เพื่อสนองตอบความเป็นประเทศที่ดีที่สุดในโลกได้ไม่วันใดก็วันหนึ่ง...แน่นอน มิเช่นนั้นเราเห็นอะไรที่ทำแล้วยาก  พากันเลิกทำด้วยหมดกำลังใจ และรู้สึกว่าเน่าเกินเยียวยาล่ะก็  บ้านเมืองคงมีแต่รอวันฉิบหาย พร้อมๆกับเสียงบ่นเบื่อการเมืองอยู่ร่ำไป
 ผมขอย้ำว่า ท้อแท้ได้แต่อย่าท้อถอย  เบื่อหน่ายได้แต่อย่าแหนงหน่าย  เพราะประเทศไทยเป็นของเราทุกคน  ไม่ใช่ของนักการเมืองแค่หยิบมือเดียว  ไม่ใช่ของนักเลือกตั้งที่จับมือฮั้วกันเข้าสภา  กะการณ์ว่ามีสส.ในมือ 10-15 คนก็ได้เป็นรัฐบาลแน่ๆ  ไม่ใช่ของนอมินีนักธุรกิจที่เข้าไปรักษาผลประโยชน์ส่วนตัว 
นอกจากนั้นอีกเช่นกัน  บ้านเมืองก็ไม่ได้เป็นหน้าที่ของสมัชชาปฏิรูปประเทศไทย  หรือคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ ที่จะต้องชูธงสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างเอาเป็นเอาตายกลุ่มเดียวเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม  ถึงแม้การเลือกตั้งไม่ใช่คำตอบของการปฏิรูปการเมือง แต่ใครสิ้นหวังแล้วเสนอจะแลกประชาธิปไตยกับการไม่ต้องเลือกตั้ง หรือวิธีพิเศษใดๆ  ผมว่ามันก็ไม่จัดอยู่ในโหมดของการปฏิรูปนะครับ…ดังนั้น ยังไงเราก็ไม่เอาขอรับ!
                                                                                                                นายใฝ่ฝัน  ปฏิรูป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น