ข่าวไทยรัฐออนไลน์:: ข่าวเศรษฐกิจ

วันเสาร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2554

วสันต์ สิทธิเขตต์ การเมืองเรื่องศิลปะ

วสันต์ สิทธิเขตต์ การเมืองเรื่องศิลปะ
11 กันยายน พ.ศ. 2550 . โดยกรุงเทพธุรกิจออนไลน์


ศิลปินบางคนเลือกจะสร้างผลงานที่นำเสนอความงามเพื่อกล่อมโลกให้รื่นรมย์ ขณะที่อีกบางคนเลือกทำงานศิลปะเพื่อวิพากษ์วิจารณ์ และชี้ให้ผู้คนมองเห็นถึงความเป็นจริงและปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคม ชาธิป สุวรรณทอง คุยบางคำกับ วสันต์ สิทธิเขตต์ ศิลปินฮาร์ดคอร์เจ้าของ รางวัลศิลปาธร ประจำปี 2550

จากอำเภอชุมแสง นครสวรรค์ เขาเดินทางมาศึกษาศิลปะที่วิทยาลัยช่างศิลป์ กรมศิลปากร กรุงเทพฯ ก่อนจะใช้ชีวิตเป็นศิลปินอิสระ ไม่จำกัดรูปแบบและประเภทของผลงาน ไม่ว่าจะเป็นจิตรกรรม ประติมากรรม ภาพพิมพ์ไม้ ศิลปะการแสดงสด วิดีโออาร์ต สื่อผสม บทกวี บทเพลง วรรณกรรม วรรณกรรมเยาวชน และล่าสุดกับ ‘หนังตะลึง’ (ญาติห่างๆ ของหนังตะลุง)

30 ปีที่กับการทำงานศิลปะชี้ปัญหาสังคมในฐานะศิลปินอิสระควบคู่กับการเคลื่อนไหวการเมืองภาคประชาชน 'ดิบ เถื่อน หยาบช้า อนาจาร' ข้อหาเหล่านี้เคยถูกประทับให้กับ วสันต์ สิทธิเขตต์ มาแล้วทั้งสิ้น เคยแม้แต่ถูกแจ้งความดำเนินคดีฐานดูหมิ่นศาสนา แต่ความจริงจังและชัดเจนของแนวทางการทำงานศิลปะทำให้เขาได้รับรางวัลทางศิลปะระดับชาติและนานาชาติ อาทิเช่น รางวัลกวีโลกจาก สภากวีโลก (International poet Academy of India) รางวัลศิลปินเพื่อสันติภาพและความเป็นธรรม (มนัส เศียรสิงห์) และล่าสุดเขาเป็นหนึ่งในศิลปินร่วมสมัยผู้ได้รับรางวัล 'ศิลปาธร' สาขาทัศนศิลป์ ประจำปี 2550

รางวัลที่ว่ากันว่าเป็นเหมือนก้าวสำคัญสู่การเป็นศิลปินแห่งชาติ

ความรู้สึกที่ได้รับรางวัลศิลปาธร?

วสันต์ : ตอนที่มีการตั้งรางวัลนี้ขึ้นมา ก็คิดว่าคงจะได้ตั้งแต่ปีแรกเลยแต่ก็ไม่ได้ คิดว่าถ้ากรรมการชุดเก่าอยู่ก็คงไม่ได้แล้ว แล้วก็อายุจะเกินแล้วด้วยเพราะ 50 แล้ว ก็คงต้องรอศิลปินแห่งชาติ แต่ก็คงไม่ถึง อาจจะเป็นศิลปินแห่งชาติหน้า ผมคงตายก่อนเพราะใช้ชีวิตโชกโชนขนาดนี้มันก็คงตายเร็ว อายุ 50 แล้ว แต่ถ้าไม่ตายซะก่อนก็คงได้เพราะหมดคนแล้วนี่

การทำงานศิลปะในประเทศนี้ก็คือการดิ้นรน ปากกัดตีนถีบด้วยตัวเองทั้งนั้นละฮะ ทำงานเพื่อยืนยันความคิดตัวเองว่าเรามองโลก มองสังคมอย่างไร กว่าคนจะได้ยินเสียงเรา ฟังความคิดที่เราร้องตะโกนนี่มันก็ใช้เวลามากฮะ แต่การให้รางวัลบ้านเราก็ยังเป็นเรื่องวูบวาบชั่วคราว อาจจะมีพิมพ์หนังสืออะไรขึ้นมา แต่ประเด็นคือการเอางานไปเผยแพร่สังคม มันต้องผ่านสื่อให้คนได้รู้ ไม่ใช่แค่รู้ว่าชื่ออะไรได้รางวัลอะไร แต่มันต้องรู้ว่าชื่ออะไรและมันคิดอะไร และมันสร้างสรรค์อะไรขึ้นมาหาพระแสงอะไรไอ้คนนี้ เขาคิดอะไรกับสังคม เขามีความหวังอะไรกับสังคม ผมคิดว่าต้องทำให้เห็นว่ามนุษย์คนหนึ่งมันไม่ได้คิดจะมาหาเงินอย่างเดียว ไม่ได้เกิดมาเพื่อขี้รดโลกนี้

งานศิลปะมีหลากหลาย อะไรทำให้เลือกทำงานแนววิพากษ์สังคม?

วสันต์ : จุดมุ่งหมายในการทำงานศิลปะของผมก็มีมาตั้งแต่ช่วงเรียน ตอนนั้นผมไม่ได้สนใจการเมืองแต่สนใจธรรมะ ก็อ่านท่านพุทธทาส อ่านปรัชญาศาสนามาก เพราะเราสนใจว่าแก่นสารชีวิตมันคืออะไร

ตอนที่เกิดเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 เพื่อนๆ ที่ทำงานศิลปะหลายคนก็ถูกจับเพราะไปเขียนคัตเอาท์ที่ธรรมศาสตร์ เรามาเห็นการฆ่ากันในทีวีตอนเช้าวันที่ 6 ไม่อยากเชื่อว่าเมืองพุทธจะมีการทำความโหดร้ายกับนักศึกษาที่ปรารถนาดีต่อสังคม มันทำให้ความเชื่อในศาสนาเดิมของผมเปลี่ยน ทำให้ผมรู้สึกว่าความทุกข์มันไม่ได้อยู่ที่เราคิดว่ามันทุกข์ ความทุกข์มันเกิดเพราะมีคนมากระทำให้เราทุกข์ ถ้าคิดแบบพระคนมาเตะเราเราต้องคิดว่าไม่เจ็บ แต่จริงๆ มันเจ็บนี่หว่า คนมาแขวนคอเรา เอารองเท้ามาตบเราเจ็บนะ

ตอนนั้นผมอายุ 19 ก็มาคิดว่าศิลปินต้องรับผิดชอบสังคม เพราะศิลปินก็คือพลเมืองในสังคมเดียวกัน ชาวบ้านทำมาหากินตามอาชีพ ศิลปินก็ทำหน้าที่มองโลก เข้าใจโลก มองเห็นแล้วก็มีทัศนะต่อโลกออกมา จะเป็นบทกวี จะทำหนัง หรืออะไรก็แล้วแต่ เราไม่ได้คิดว่าจะกล่อมโลกให้รื่นรมย์อย่างเดียว เรามองว่าโลกมันเป็นอย่างไร สังคมมันเป็นอย่างไร เราเชื่อว่าศิลปะนี่เป็นกระบวนการหนึ่งที่จะให้สังคมเรียนรู้ตัวเอง ให้คนได้สะดุดคิดว่าเราอยู่ตรงไหนกัน เรากำลังจะไปทางไหนกัน แล้วการปกครอง การเมือง อำนาจที่มันเป็นอยู่มันเอื้ออำนวยต่อบ้านเมืองไหม ต่อคนทุกคนไหม หรือต่อใคร กลุ่มไหน

จากจุดนั้นก็เลยทำงานศิลปะเพื่อกระทุ้งสังคมมา 30 ปี?

วสันต์ : 30 กว่าปีที่ผ่านมาก็เหมือนกับเราได้เห็นแล้วเราก็ย้ำทำอยู่แต่เรื่องนี้ พูดซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่เราศึกษาเรื่องวิธีการตลอดเวลาว่าจะสื่อสารออกไปอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ ละคร เพอร์ฟอร์แมนซ์ (ศิลปะการแสดงสด) หนังตะลุง ทำทุกอย่าง แต่เนื้อหาก็คือทำอย่างไรจะเปิดโปงอำนาจที่ชั่วช้านี่ให้มันล่อนจ้อนที่สุด ให้มันอ่อนแอที่สุดเท่าที่พลเมืองกระจอกอย่างเราจะทำได้ เพราะว่ามนุษย์เราอยู่ในโลกชั่วขณะเท่านั้นเดี๋ยวก็ตาย ถ้าจะเราจะมาอยู่หายใจรดโลกเฉยๆ หรือมาเอารัดเอาเปรียบก็ไม่ควรน่ะ ไปฆ่าตัวตายซะ เราควรจะมีสติว่าจะรับผิดชอบต่อสังคมที่เราอยู่ได้อย่างไร

ที่ผมพร่ำร้องตะโกนมาน่ะ มีคนร้องตะโกนมาก่อนผมเป็นร้อยๆ พันๆ ปี ผมคิดว่าผมก็เป็นเสียงหนึ่งที่ประสานกับคนอื่นเพื่อจะถามว่าความถูกต้องดีงาม ความยุติธรรมคืออะไร ในฐานะศิลปินเราก็บันทึกเรื่องราวที่เกิดขึ้น และชี้ทิศทางว่าเราจะไปกันอย่างไร จะหาทางออกร่วมกันอย่างไร

ผมเดินทางไปทั่วโลกนี่ผมได้เห็นว่าอำนาจการเมืองการปกครองมันได้รับการสนับสนุนจากทุนทั้งนั้น ระบบอำนาจรัฐของเราเองก็เอื้ออำนวยกับคนรวยกลุ่มน้อยเท่านั้น บ้านเมืองเราก็ย่อยยับ ทุกวันนี้เราก็สะท้อนใจทุกครั้งที่เห็นพ่อเฒ่าต้องมาเป่าแคนตามสะพานลอย ทำไมคนปลูกข้าวแต่ไม่มีข้าวกิน เป็นไปได้ยังไง แค่นี้เราก็ได้คิดแล้วว่าสังคมเราวิปริตมานานแล้ว คนบ้ามากขึ้น คนนอนข้างถนนมากขึ้น นี่คือไฟที่ทำให้ผมทำงาน ทำให้เราเริ่มขยับพู่กัน หรือคิดจะต่อสู้กับอำนาจระยำพวกนี้

ต้องการสังคมที่ดีกว่า แต่จะเป็นจริงได้แค่ไหน?

วสันต์ : เหมือนเราร้องเพลงถ้าแฟนเพลงเอาด้วยมันก็มันส์สิครับ แต่เราไม่ได้อยู่ในกระแสหลัก เราเป็นกระแสของการคิดต่าง นอกคอก เพราะเราถอยออกมามองว่า เฮ้ย โลกมันกำลังหมุนไปทางไหน มันหมุนลงนรกกันนี่หว่า เราก็เป็นเหมือนผู้เฝ้ามองแล้วเปิดโปง วิพากษ์วิจารณ์ และชี้ทางว่ามันควรจะเป็นอย่างไร ผมคิดว่านั่นคือหน้าที่ของมนุษย์ทุกคนไม่ใช่เฉพาะศิลปิน ถ้าผมเป็นพี่เบิร์ดคนก็คงฟังผม เต้นตามผม แต่คนคงอยากฟังเพลงรักกันมากกว่าจะมาฟังเพลงปฏิวัติ หรือชวนถล่มนักการเมืองกัน

30 ปีที่ผ่านมาผมเหมือนเกิดมาเพื่อเป็นพยานของหายนะที่เกิดขึ้น งานผมอาจจะเป็นบันทึกให้มนุษย์รุ่นหลังได้เห็นความหายนะของสังคมเท่านั้นเอง หรือมนุษย์รุ่นหลังอาจจะไม่มีแล้วก็ได้ อาจจะสูญพันธุ์กันหมดแล้วก็ได้

มองการเมืองวันนี้อย่างไร?

วสันต์ : ทุกวันนี้ถ้าออกจากกรุงเทพฯ ไป ในสังคมชนบทคนก็ยังมีจิตสำนึกแบบชาวนา ทำไมคนอีสานยังรักทักษิณ ชาวบ้านไม่รู้การเมืองคืออะไร นักการเมืองมางานบวชเอาเหล้ามาให้ 2 ลังก็เลือกกันไปนิรันดร ยันลูกหลานเหลนโหลนภายหน้า มันคือระบบบุญคุณน่ะ เราต้องสอนกันใหม่ว่า การเนรคุณต่อคนชั่วเป็นคุณธรรม แล้วจะมองอย่างไรว่ามันชั่วก็มันเอาของมาให้เราน่ะ ก็ต้องมองต่อไปว่ามันดีกับเราแต่มันไปทำชั่วที่อื่นน่ะ

ทุกวันนี้เรายังไม่มองปัญหาหลักๆ ของสังคมเราเลย ปัญหาที่ดิน ปัญหาหนี้สิน ปัญหาสวัสดิการ การเก็บภาษีควรจะเก็บแบบก้าวหน้า ใครรวยเก็บมาก วัฒนธรรมการคดโกงในสังคมไทยจะหมดไปได้ยังไง เพราะทุกวันนี้คนมีอำนาจก็รับเงิน นักการเมืองก็ตั้งท่ากลับมาข่มขืนประเทศเราใหม่ แล้วเราภาคประชาชนจะทำยังไง ให้คนเข้าใจว่าการเมืองประชาชนต้องมีส่วนร่วม ทำยังไงไม่ให้เอาพวกโจรเข้ามาอีก หรือถ้าเราจะรณรงค์ว่า ไม่เลือกตั้งเลย มึงให้เลือกกูไม่เลือกเพราะพวกมึงเห้ทั้งนั้น

การเลือกตั้งไม่มีความหมายเลยเพราะมันต้องผสมพันธุ์กันแน่ นี่ผมก็กำลังจะไปจดทะเบียนตั้ง ‘พรรคศิลปิน’ เพื่อให้เรามีโอกาสพูดบ้างว่า นักการเมืองที่เตรียมจะผสมพันธุ์กันน่ะเลิกคิดได้แล้ว ประชาชนไม่เอาอีกแล้ว หลายสิบปีที่ผสมพันธุ์กันข่มขืนบ้านเมืองมานี่ พอแล้ว อีกอย่างบัญชีหนังหมาต้องติดให้ทั่วเลยว่านักการเมืองตระกูลนี้มันโกงอะไรมาบ้าง ฆ่าใครมาบ้าง ออกทีวีทุกวันหลังข่าวไปเลย ไอ้พวกนี้จะได้ไม่ต้องเอาเข้ามาอีกแล้ว

ชาวบ้านรู้แต่ไม่มีทางเลือก ประชาธิปไตยแบบนี้มันไม่ได้ สังคมเราทำร้ายตัวเองเหมือนผู้หญิงที่ต้องไปแก้ผ้าปีนต้นไม้เพื่อให้ได้รับการสนใจ อันนี้เป็นการทำร้ายตัวเอง แต่อีกหน่อยอาจจะเป็นเหมือนนายโชนักเรียนที่เวอร์จิเนียที่เอาปืนไปยิงเพื่อนก็ได้ นี่ผมก็ทำงานเรื่องโชไปแสดงที่ปักกิ่งเพื่อจะบอกว่าโชก็คือตัวแทนความป่วยไข้ของยุคสมัย

ตอนนี้คนอาจจะเชิญทักษิณไปสอนตามมหาวิทยาลัยต่างๆ วิธีใช้นโยบายประชานิยมใช้อย่างไร แต่มันเป็นการออกไปเพราะทหารไล่ ไม่ใช่ประชาชนไล่ ซึ่งมันอธิบายกับคนอื่นยาก ผมยังอธิบายเพื่อนยากเลย เพื่อนยังถามผมรักการรัฐประหารเหรอ ผมบอกเราไม่ได้เห็นด้วยกับการรัฐประหาร แต่เราเห็นว่าความชั่วช้าของระบอบประชาธิปไตยโดยนายทุนมันชั่วช้าที่สุดในโลกแล้ว ตั้งแต่มีการปกครองระบอบประชาธิปไตยมา

ก็เลยคิดจะตั้ง 'พรรคศิลปิน' เพื่อเคลื่อนไหวทางการเมือง?

วสันต์ : เรื่องพรรคศิลปินมันเกิดช่วงเลือกตั้งครั้งที่ 2 ของทักษิณ ประมาณปี 2547 ตอนนั้นเป็นประเด็นทำงานศิลปะของผมนะ ตอนนั้นเราคิดว่าน่าจะเปิดประเด็นใหม่ คิดนอกกรอบบ้าง เพราะนักการเมืองก็จะบอกว่าประชาชนเลือกเข้ามา มันต้องจ่ายหัวคะแนนให้ไปจ่ายคนอื่นต่ออีก ถ้าเป็นอย่างนี้มันจะพัฒนาการเมืองได้อย่างไร

ใครล่ะจะเป็นคนทำให้เห็นปัญหา ก็ต้องเป็นนักวิชาการ แต่นักวิชาการไทยมันก็น้อยเต็มที เอาเข้าจริงนักวิชาการไทยก็ดีแต่ “ตามทฤษฎีประชาธิปไตยแล้ว การรัฐประหารเป็นความผิด” ไอ้...นักวิชาการส้นมือพวกนี้ ท่านก็ควรจะเรียนต่อไปนะ เรียนให้จบร้อยปริญญาไปเลย ไม่ต้องมาทำงานไม่ต้องมามองสังคม ความรู้แบบนี้รู้เพื่ออะไร สำหรับผมนะความรู้ต้องเพื่อเพื่อนมนุษย์ สติปัญญาเพื่อเพื่อนมนุษย์ ไม่ใช่เพื่อหาทางมากอบโกย เราต้องการให้คนเผชิญหน้ากับความเป็นจริง คุณต้องเปิดโปงความชั่วช้าของระบบคนกินคนให้คนเข้าใจ

ทีนี้ก็มาคุยกับเพื่อนว่า ต้องเอาจริงซะที เพราะเท่าที่มีอยู่ตอนนี้มันมั่ว กระสือทั้งนั้นเลย คนเราไม่มีทางเลือกเลย จริงๆ ตั้งพรรคศิลปินเราก็ไม่มีตังค์ไปลงเลือกตั้งหรอก 40 ล้านเราไม่มี เรามี 40 บาท แต่ถ้าเราคิดว่าพรรคศิลปินถ้าหม่ำ เท่ง โหน่ง มากับเรา พงษ์สิทธิ์ พงษ์เทพ หงา คาราวาน ตลกทั้งหลาย ศิลปินทั้งนั้น ครูเพลงอีสาน ครูศิลปะนักเรียนศิลปะที่มีพ่อมีแม่เหมือนกันเนี่ยเขาก็คงจะเข้าใจว่า เออ ศิลปินคิดสร้างสรรค์ สร้างโลกสวยงามเป็นยังไง แต่โอกาสที่เราจะพูดกับสังคมมันน้อยมาก ก็คงรวมเพื่อนไปจดทะเบียนพรรคศิลปินไว้ก่อนจะไปแสดงงานที่เมืองจีน 19 กันยายนนี้

เพื่อนยังบอกไม่รีบจดเดี๋ยวแกรมมี่จดไปก่อนละหมดสิทธิสอบเลยนะ ก็อาจจะไปทาบทามพี่เบิร์ด แต่พี่เบิร์ดคงไม่เข้า

ตั้งพรรคศิลปินมาแล้วจะเคลื่อนไหวอย่างไร จะส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือเปล่า?

วสันต์ : ช่วง 5 ปีแรกคงไม่สมัคร แต่เราจะรณรงค์ทางภาคประชาชน เคลื่อนไหวทำดนตรี ทำละคร ทำสื่อต่างๆ เพื่อให้การศึกษากับชุมชน จะระดมทุนกันตามมีตามเกิดเท่าที่มี หรืออาจจะ เฮ้ย พี่หมู (พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ) ขายเทปได้ขอม้วนละ 50 สตางค์ พงษ์สิทธิ์ (คำภีร์) 50 สตางค์ ใช้เงินประชาชนเพื่อจะสร้างสังคมที่ดีขึ้นมา ตามความใฝ่ฝันของเราร่วมกัน ผมว่าถ้าเป็นแบบนี้มันก็สวยงาม

ตั้งแต่ผมจะตั้งพรรคแค่ติดโปสเตอร์ หรือแห่ขบวน ก็มีเพื่อนๆ ที่เคยซื้อรูปผมไปก็มาถาม วสันต์ต้องการตังค์มั้ย เขาจะมาซัพพอร์ต ผมก็ไม่เอานะ เพราะถ้าเกิดผมตั้งมาแล้วมีคนเลือกผมจริงๆ มันจะยุ่งเลย เกิดคุณมาขอให้ผมทำอะไรแล้วผมไม่ทำให้จะเนรคุณหรือเปล่าเนี่ย คุณมาให้ผมแล้วคุณหวังอะไรจากผม ถ้าคุณหวังเพื่อสังคมที่ดีงาม มีความยุติธรรม ถูกต้อง แบบนี้สลึงนึงก็ยินดีรับครับ แต่ถ้าหวังอย่างอื่นเป็นไปไม่ได้

ระยะหลังๆ ไม่ค่อยเห็นแสดงงานในเมืองไทย แต่ดูเหมือนว่าจะไปแสดงงานต่างประเทศบ่อยกว่า?

วสันต์ : ช่วงนี้ผมก็เพิ่งกลับมาจากไปแสดงงานที่ปักกิ่ง แล้วก็ที่บูดาเปสต์ เวียนนา ได้ไปเรียนรู้ว่าสังคมเขามีการให้ทุนมาสนับสนุนศิลปิน ศิลปินก็ทำงานตอบแทนให้กับชุมชน เดี๋ยวก็จะไปอีก จะไปแสดงเพอร์ฟอร์แมนซ์ที่ปักกิ่ง สิงคโปร์ แล้วก็อินโดนีเซีย

เราเดินทางก็เหมือนกับเราไปก็ไปสร้างเครือข่ายด้วย ศิลปินส่วนใหญ่ก็จะคิดเรื่องสังคมดีงาม คิดว่าสังคมจะดีขึ้นได้ยังไง แต่บางคนก็มองว่ามาแล้ววสันต์ ศิลปินล้าหลังจากประเทศด้อยพัฒนา ยังคิดเรื่องสังคมอยู่ขณะที่คนอื่นเขาไม่คิดแล้ว มันก็ต้องวิจารณ์น่ะ แล้วไม่ใช่วิจารณ์แต่สังคมไทย เราวิจารณ์โลกด้วย เราวิจารณ์การถล่มอิรักของอเมริกา วิจารณ์รัฐของอเมริกา เราวิจารณ์เวียนนา บูดาเปสต์ เราวิจารณ์ปักกิ่ง ไปที่ไหนวิจารณ์ที่นั่น

เรากำลังพูดถึงว่าไม่ใช่ประเทศไทยจะรอดอย่างเดียว ทั้งโลกมันต้องไปรอดด้วย การไปก็เหมือนกับไปพูดถึงว่าโลกเป็นอยู่อย่างไรแล้วเราจะทำอะไรร่วมกันได้บ้าง เหมือนเราไปจุดประกายไฟให้มันเกิดขึ้นในทุกหนทุกแห่งที่เราไป เราก็ได้เดินทาง ได้เห็น ได้คุยแลกเปลี่ยนด้วย ไม่ได้ไปเที่ยว

30 ปีที่ทำงานศิลปะวิพากษ์วิจารณ์สังคมการเมือง รู้สึกว่าชีวิตซีเรียสเกินไปไหม?

วสันต์ : โชคดีที่ผมศึกษาพุทธมาตั้งแต่ต้นทำให้เรารู้ว่าชีวิตมันคือความทุกข์น่ะ จะไม่ทุกข์ไม่ได้หรอก ตื่นเช้ามาก็ปวดฉี่แล้ว เดี๋ยวก็หิวต้องหาข้าวกิน ก็ต้องออกเดิน ต้องคิดว่ามีงานที่ไหนบ้าง มีนัดที่ไหน ต้องโทรศัพท์ ต้องส่งเมล ต้องติดต่อใคร วันหนึ่งก็มีแต่กิจกรรมที่จะต้องทำ เพราะฉะนั้นเราก็จัดการกับแต่ละวันไป จะแสดงงานเมื่อไหร่ก็เตรียมวางแผนงานนะครับ บางทีก็ไปร่วมงานกับเพื่อนที่กำลังจะสร้างหอศิลป์ที่กระบี่ ไปร่วมงานกับพี่น้องประชาชนที่บ่อนอกเพื่อรณรงค์ให้ความเป็นธรรมต่อทนายสมชายหรือเจริญ วัดอักษร

ผมคิดว่ามันเป็นหน้าที่ของการมีชีวิตอยู่ มันเป็นชีวิตไปแล้ว มันก็ไม่เครียดแล้ว

คำถามสุดท้าย ศิลปะในความหมายของวสันต์ สิทธิเขตต์ คืออะไร?

วสันต์ : เราก็ต้องการสื่อให้เห็นว่าศิลปะไม่ใช่การสร้างมายาภาพขึ้นมาเพื่อหลอกให้คนหนีไปจากความเป็นจริง ผมคิดว่ามนุษย์ต้องอยู่ในโลกของความเป็นจริง รู้จักปัญหา เผชิญหน้ากับปัญหาแล้วกลับมาแก้ปัญหาอย่างมีเหตุผล งานผมถึงพยายามชี้สิ่งที่เกิดขึ้น ที่มันเป็นอยู่ งานของผมอาจจะเน้นถึงความรุนแรง ความหยาบช้า แต่ความหยาบช้าทั้งหลายที่ระบบทุนหรืออำนาจชั่วร้ายที่มันทำต่อสังคมไทยมันรุนแรงกว่าที่ผมทำเป็นล้านๆ เท่า ความรุนแรงที่ปรากฏออกมาเป็นหายนะของบ้านเมือง หายนะของป่าไม้ ธรรมชาติ ท้องทะเล มันยิ่งกว่าความหยาบที่ออกมาเป็นตัวหนังสือหรือภาพเขียนที่แสดงออกมา

จริงๆ ผมไม่ได้ทำเพื่อคนอื่นเลย ผมทำเพราะผมไม่ยอมรับระบบจัญไรที่มันเป็นอยู่ในโลกนี้เท่านั้นเอง นั่นเป็นการพูดอย่างตรงที่สุดแล้ว ถ้าจะพูดว่ารักเพื่อนมนุษย์มันจะเว่อร์ไป ผมเลยขอพูดว่าผมรักตัวเอง พอรักตัวเองเลยคิดว่าตัวเราก็คือคนอื่นทั้งหมด

พลังของศิลปะคือความรักชีวิต รักตัวเองอย่างสูงสุด แล้วก็จะเข้าใจว่าตัวเองไม่มีอะไรเลย เราอยู่บนโลกแป๊บเดียว เพราะฉะนั้นการรักชีวิตแบบสูงสุดก็คือการพลีชีพเพื่อคนอื่น มันคือความหมายของการมีชีวิตอยู่ของศิลปิน

-------------------------------------------
ประวัติและบทสัมภาษณ์
วสันต์ สิทธิเขตต์ ( VASAN SITTHIKET )
โดย มติชนออนไลน์ วันจันทร์ที่ 17 เดือนกันยายน พศ. 2550

ภาพวาดโดยศิลปิน: ชาติชาย ปุยเปีย ชื่อภาพ: นักการเมือง : Technique: Oil on canvas Size: 72 x 60 cm

• แนวทางในการสร้างผลงาน /มองสิ่งที่มากระทบและสะท้อนอารมณ์ตัวเอง หรือสิ่งที่สะท้อนสังคมการเมือง


ก็เป็นเรื่องราวของชีวิตครับ เพราะเราเกิดในชนบทแล้วได้มาอยู่ในเมืองมันก็เห็นความต่างของสังคมระหว่างชนบทกับเมือง พอมาเรียนศิลปะที่กรุงเทพมันก็ยิ่งเห็นความต่าง และอีกสิ่งหนึ่งที่มีอิทธิพลต่องานของผมมาก็คืออัตชีวประวัติของ แวน โก๊ะ ที่เขาไปใช้ชีวิตในเหมืองแร่ มันทำให้เราคิดว่าศิลปะมันน่าจะช่วยมนุษย์ให้พ้นจากความทุกข์ยากได้ งานผมจึงเป็นเรื่องของคนอื่น สังคม งานชิ้นแรกๆ ก็เกี่ยวกับคนงานข้างถนน กรรมกร เด็กสลัม เราได้เข้าไปศึกษาชีวิตเขา ซึ่งผมก็ถือแนวทางนี้ปฏิบัติมาโดยตลอด ซึ่งงานส่วนมากมันก็สะท้อนอารมณ์ตัวเองหมด เพราะว่าเราสะเทือนใจต่อความอยุติธรรม ความไม่เท่าเทียมกันของสังคม ถ้าถามว่าสะท้อนเรื่องการเมืองไหม ผมว่ามันไม่ใช่เรื่องการเมืองโดยตรงนะ แต่มันคือชีวิต เพียงแต่มันกระทบกันโดยตรง ชีวิตมันถูกครอบงำด้วยการเมือง มันเลยส่งผลกระทบต่อชีวิต ทุกคนต้องขึ้นรถเมล์ไปทำงานอย่างทุกข์ทรมาน เพราะไม่มีที่นั่งพอสำหรับเขา สำหรับคนท้อง ซึ่งความโหดเหี้ยมที่เกิดขึ้นทุกวันนี้มันเหมือนกับเวลาเราไปทำงานคือการไปบำเพ็ญทุกขกิริยาเลยนะ แล้วตอนเย็นก็ต้องหลับคารถ นี่คือสิ่งที่สะเทือนต่อเราทุกคน มันเกี่ยวหมดทั้งการเมือง สังคม เศรษฐกิจ แต่เราไม่ค่อยรู้ งานของผมที่ทำก็เพื่อจะไปถมช่องว่างตรงนี้ อย่างในเชิงสังคม ทำไมเด็กผู้หญิงถึงต้องถูกข่มขืน กลับบ้านดึกๆ ก็อาจถูกมอเตอร์ไซค์จับนมได้ ถ้าเกิดสังคมมันดีงามมันเกิดความร่มเย็น ความเก็บกดทางเพศ หรือการเปิดเผยทางเพศ มันควรจะเป็นยังไง หรือว่าการฉ้อฉล การจับคนมาขายเป็นเครื่องบำบัดทางเพศมันเกิดขึ้นได้ยังไง ความยากจนเกิดขึ้นจากไหน มันเป็นเรื่องชีวิตภายใต้การเมืองทั้งนั้น ผมมองโลกในแง่นี้


งานของผมอย่างน้อยถ้าเยียวยาสังคมไม่ได้ มันก็เยียวยาตัวผมเอง มันดูรุนแรง แต่อย่างน้อยการได้เขียนรูปออกไปคือเรากำลังจะพูดว่าเราไม่เห็นด้วยกับมัน ไม่เห็นด้วยกับสังคมที่เอารัดเอาเปรียบกันแบบนี้ ไม่เห็นด้วยกับพระที่ไปข่มขืนเด็ก แล้วก็เขียนรูปออกมา คืออัดทันที อีกอย่างคือผมมองว่าสังคมไทยมันลักปิดลักเปิด ด้านหนึ่งก็พูดถึงศีลธรรมอันดีงาม แต่อีกด้านหนึ่งก็ชั่วช้าฉ้อฉลอยู่ตลอดเวลา มันก็คือการเปิดโปงความฉ้อฉลเหล่านี้ อย่างตอนที่มี Dictionary เล่มหนึ่งที่ให้ความหมายของกรุงเทพว่าเป็นเมืองเซ็กส์ เราไม่ยอมให้ Dictionary เล่มนั้นเข้ามาเผยแพร่ในประเทศ ซึ่งผมได้ยินดีเจในวิทยุพูดตลอดเวลาว่า ไม่ได้ ไม่ยอม เราเป็นคนไทยจะยอมได้ไง แต่ผมไม่เห็นด้วย ถ้าเราไม่เผชิญหน้ากับปัญหา ถ้าเราไม่ยอมรับแล้วเราจะแก้ปัญหาได้อย่างไรล่ะ ถ้าเราไปเดินรอบสนามหลวงตอนดึกๆ ก็จะมีแต่ผู้หญิงไปขายตัวทั้งนั้น แล้วนี่มันคืออะไรล่ะ จะบอกว่าสังคมไทยไม่มีโสเภณีหรือ เมื่อปี 2537 ที่มี Dictionary เล่มนี้ ผมก็เขียนภาพเพื่อที่จะตอบโต้วิธีคิดแบบนี้ ว่าเฮ้ย มันไม่ใช่นะ เราต้องเผชิญหน้ากับปัญหา เราถึงจะแก้ปัญหาได้ การปกปิดมันไม่ได้แก้ปัญหาอะไรเลย นี่เป็นสิ่งที่สวนทางกับขนบอยู่แล้ว ผมว่าการสร้างศิลปะมันไม่ใช่แค่การเขียนรูปให้สวยเท่านั้น เรากำลังสร้างความคิดใหม่ๆ ข้อถกเถียงใหม่ๆ ให้กับทุกคนด้วย หมายถึงศิลปะทุกแขนงนะครับ

• อยากให้พูดถึงการทำงานที่เน้นความฉับไวที่ทันต่อเหตุการณ์


ผมก็เป็นศิลปิน เอ็กเพรสชั่นนิสม์ คือเรารู้สึกเร็วก็โต้ตอบออกมาเร็ว ไม่อยากอ้อมค้อม เพราะสังคมไทยมันอ้อมค้อม ความจริงอยากจะใช้ภาษาให้น้อยที่สุดด้วยซ้ำ ผมคงเป็นคนซีเรียวกับชีวิตตั้งแต่เด็กๆ เพราะได้อ่าหนังสือ เดินทาง พูดคุย ทำงาน ทะเลาะเบาะแว้ง ถูกต่อต้าน มันเลยเห็นอะไรต่างๆ อย่างรวดเร็ว แต่สิ่งที่ทำก็ขอยืนยันว่าไม่มีพิษมีภัย มันคือการพูดถึงชีวิต สิทธิเสรีภาพ ที่จะไม่ไปเบียดบังหรือทำร้ายคนอื่นๆ มันเป็นสิ่งที่ทำได้เลย ไม่อยากจะรอคอยผู้นำคนไหนมาทำ ผมอยากจะทำเป็นตัวอย่าง

• ศิลปะกับการเมืองมันมีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร


ศิลปินก็เป็นคนหนึ่งในสังคม สังคมที่เราร่วมกันอยู่ เสื้อผ้าที่ผมใส่ก็ไม่ได้ทอขึ้นมา ผมไม่สามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ด้วยตัวเอง เมื่อตอนเรียนศิลปะแรกๆ ผมก็ไม่อยากอยู่ในสังคมแบบนี้ ไม่รู้จะอยู่ทำไม เกิดมาต้องหาเงินเลี้ยงชีพ อยู่ในครอบครัว แต่ถ้าผมอยากเดินทาง เขียนบทกวี ออกท่องเที่ยวมันเป็นไปไม่ได้เลย ถ้าจะเป็นแบบนั้นเราก็ต้องอกไปอยู่นอกสังคม ไปอยู่กับสัตว์ หญ้า เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเกี่ยวข้องกับสังคมเลย แต่มันอยู่ไม่ได้ เราก็ต้องหันหลังกลับมาในสังคมอยู่ดี เพราะฉะนั้นเราเป็นมนุษย์ที่อยู่ในสังคม เราก็ต้องรับผิดชอบต่อสังคมที่เราอาศัยอยู่ อย่างน้อยที่สุดคือมีอาชีพพอเลี้ยงตัวได้ มีชีวิตอยู่เพื่อบางสิ่งบางอย่าง ไม่อย่างนั้นจะอยู่ทำไม เด็กๆ เกิดมาก็น่าจะได้อยู่ในระบบการศึกษาที่ดีกว่านี้ สอนให้เข้าใจชีวิต รู้จักสิทธิของตัวเองที่จะไม่ยอมให้ใครมาฉ้อฉล มาใช้อำนาจ กดขี่ เอารัดเอาเปรียบเราได้ ถ้าทำแบบนั้นไม่ได้ก็อย่าไปมีครอบครัวเลย เพราะไม่อย่างนั้นคุณก็จะผลิตคนชั่วช้าขึ้นมาในสังคมอีกคนหนึ่งเท่านั้นเอง นั้นคือสิ่งที่ผมคิด แล้วงานศิลปะมันก็ออกมาเพื่อยืนยันในสิ่งที่เราเชื่อ มันเป็นหน้าที่ของทุกคนนะ นอกจากเรามีเสรีภาพแล้วก็ต้องมีความรับผิดชอบด้วย และสิ่งที่ผมประกาศออกมาเป็นชิ้นงานผมก็รับผิดชอบมันต่อการเผชิญหน้าต่อความเชื่อด้วย ถ้ามันไปท้าทายต่อศีลธรรมเราก็พร้อมที่จะให้คำตอบต่องานที่ทำว่าเราทำเพื่ออะไร ยังไงมันก็ต้องเกิดความขัดแย้งอยู่แล้วในเมื่อมนุษย์เป็นสัตว์ที่มีเหตุผล มันจึงเป็นการเปิดประเด็นถกเถียงเพื่อจะหาทางออก ไม่อยากให้ทุกคนอยู่ในมายาภาพ ศิลปะมันจึงเป็นตัวฉีกหน้ากากให้พ้นไปจากมายาภาพตรงนี้ มีเสรีภาพไปจากความมดเท็จ

• เวลาทำงานเรื่องพื้นที่เป็นเรื่องจำเป็นไหม


มันไม่จำเป็นเท่าไหร่ แม้ว่าผมจะเป็นคนต่อสู้เพื่อเรียกร้องหอศิลป์ แต่หอศิลป์ในไทยมันไม่มีเลยไง แต่ที่เราเรียกร้องเพราะมันเป็นโครงการซึ่งมันมีมาอยู่ก่อนจนได้มาก็ต้องต่อสู้ต่ออีก เพราะการบริหารจัดการบ้านเรายังขาดแคลนบุคลากรมาก ศิลปิน กวี ก็น้อย เรามีคน 60 ล้านคน แต่ทำไมกระบวนการสร้างสรรค์มันมีน้อยเหลือเกิน หรือว่านักการเมืองที่ดีแทบจะไม่มีเลย ในสังคมมันสิ้นหวัง ในฐานะที่เราทำงานแนวทางสื่อความสร้างสรรค์ทางความคิดในสังคม ผมอยากจะกระตุ้นให้คนรุ่นใหม่หรือชุมชนได้ตระหนักและคิดถึงกันว่าเราจะอยู่ร่วมกันได้อย่างไร มันมีทางออกที่ดีกว่านี้มั๊ย ในระบอบประชาธิปไตยที่มีการเลือกตั้ง นักการเมืองรวยขึ้นแต่ประชาชนจนลง กระบวนการประชาธิปไตยเรามันผิดพลาดตรงไหน โครงสร้างอำนาจนิยมที่กลืนกินท้องถิ่น พวกนี้มันต้องล้างบางให้หมด เราต้องขุดโค่นพวกนี้โดยภาคประชาชน ไม่ใช่คนมีอำนาจเป็นไฮโซแล้วประชาชนต้องมุดรูไม่กล้าพูดอะไร แล้วสังคมมันจะน่าอยู่เหรอ ผมก็เสี่ยง แต่ก่อนก็กลัวตายเหมือนกัน แต่พอเหตุการณ์พฤษภาก็ไม่กลัวอีกแล้ว ตายก็ดีเหมือนกันจะได้ไม่ต้องเขียนรูปต่อไป งานที่สร้างจึงเป็นเชิงวิจารณ์สังคม ชี้ทางสังคมที่ดี ศิลปะทุกสื่อที่ทำก็เพื่อจะไปกระทุ้งทุกภาคสื่อให้มองว่านี่มันคืออะไร เพราะฉะนั้นการเรียกร้องของผมจึงไม่ใช่การให้ความสำคัญกับพื้นที่ แต่เป็นเรื่องสังคมมากว่า

• ขอบเส้นของวัฒนธรรม จารีตประเพณีและความเหมาะสมในแง่ของสังคมไทย บางส่วนอาจรู้สึกต่อต้านผลงานของคุณวสันต์ สิ่งนี้มีผลกระทบต่อการสร้างงานอย่างไร


ผมเคยถูกฟ้องประหารชีวิต ว่าผมวิจารณ์พระเรื่องพระข่มขืนเด็ก 8 ขวบ คนก็เข้าใจผิดว่าผมไปปกป้องพระรูปนั้นเพราะมีพระหัตถ์ของพระพุทธเข้าอยู่ คือเขาไม่เห็นรูปใหญ่ว่าเป็นพระพุทธเจ้าเสด็จมากรุงเทพในช่วงที่บ้านเมืองมีการฆ่า มีพระข่มขืนเด็ก รูปนั้นผมเขียนทั้งปีเพื่อบันทึกสิ่งที่เกดขึ้นในสังคมไทย คนกว่า 90 % เป็นพุทธศาสนาแต่ก็ยังฉ้อฉล ขี้โกง เรารู้แต่ปากเรื่องธรรมะแต่เรากลับไม่ปฏิบัติกันเลย หรือเอาแต่สอนว่าพระพุทธเจ้าเกิดที่ไหน ปรินิพพานที่ไหน ตรัสรู้วันไหนเท่านั้น แต่กลับไม่มีแก่นสารธรรมมะให้เลย สิ่งที่เป็นอยู่มันน่าสมเพชไหม ระบบการศึกษาที่ไม่มีประโยชน์เลย แล้วสื่อเรามีไม่รู้ตั้งกี่ช่อง แต่มาสอนเต้นรำ เลียนแบบเพื่อชิงเงิน 5, 000 บาท ซึ่งมันไม่มีประโยชน์เลย แล้วก็ล้างสมองเด็กให้เป็นคนตายอย่างนั้นเหรอ ทำไมไม่มาแข่งความดีงาม ความคิดสร้างสรรค์ มันมีแต่การเลียนแบบแค่นั้นเอง


บางคนก็คิดว่าผมเป็นคนไทยรึเปล่า แต่ผมอยากจะบอกว่าศีลธรรมอันดีงามของวัฒนธรรมไทยมันคืออะไรกันแน่ มันจับต้องได้จริงหรือ ถ้าเราบอกว่ามันคือการไหว้เบญจางค์ประดิษฐ์หรือการรำไทย นุ่งโจงกระเบน นั่นคือฉากเปลือก คนไทยสมัยก่อนที่นุ่งผ้าเตี่ยวไม่สวมเสื้อแล้วอยู่ดีๆ ก็มาใส่ชุดสูทในทันที มันสับสนไปหมด และความหลากลายของวัฒนธรรมไทยเองไม่ว่าจะเหนือ ใต้ ออก ตก เราเคยทำให้เขาภาคภูมิใจกับวัฒนธรรมของตัวเองบ้างไหม หรือว่าเราไปทำลายความภาคภูมิใจจนเขาไม่รู้จะทำอะไรกันแล้ว แล้วเราบอกว่าสังคมไทยอ่อนแอมากไปเลียนแบบญี่ปุ่น ฝรั่ง เกาหลีทุกวันนี้มันคืออะไร มันสะท้อนถึงสังคมไทยว่าไม่มีแม่แบบเลย ทุกคนอยากจะมีชุดของตัวเอง แต่เราก็ใส่หลุยส์ วิตตอง ใส่เสื้อป้าแบรนด์เนม มันสะท้อนถึงความไม่มีตัวตนของเราเลย ความเป็นดีไซน์เนอร์ในตัวเราเองมันมีอยู่หรือเปล่า เราคิดว่าเราจะเป็นศูนย์กลางของแฟชั่น มนโกหกทั้งเพ เป็นไปได้ไงในเมื่อเราเป็นหัวขโมย แล้วเราจะบอกว่าเราเป็นสุดยอดได้ไง ไม่เมื่อตัวรัฐเองไม่ได้สนับสนุนไอ้กระบวรการที่ทำเลย อิตาลีเขามีเรื่องรองเท้า ฝรั่งเศสมีน้ำหอม แต่สิ่งเหล่านี้เขาก็สั่งสมมาเป็นร้อยปี แต่สิ่งที่เราไม่เคยสั่งสมและเราดูถูกตัวเองจนถึงวันนี้จะทำยังไง ลิเก ตะลุง ลำตัด จะฟื้นฟูได้ยังไงในเมื่อคุณไม่ให้เนื้อหาความอิสระเลย คุณให้เนื้อหายกย่องคนนู้นคนนี้ไปเรื่อยเปื่อยแต่มันไม่มีความหมาย คุณไม่ให้ความรักละอิสระในการสร้างแก่เขา มันเป็นสิ่งที่ขาดไป เราพูดถึงแต่สิ่งที่ฉาบฉวยในขณะที่ไม่พูดถึงตัวแก่นสารที่แท้จริง ตัวความรักต่อสิ่งที่เราทำ ดังนั้นเสียงวิพากษ์วิจารณ์มันก็ไม่ค่อยกระทบต่อการทำงานของผม เพราะเราคิดว่าเราไม่ได้เป็นคนดื้อด้าน แต่เราคิดและไตร่ตรองมาแล้ว สังคมไทยเป็นสังคมที่ต้องการการวิพากษ์ และมีเหตุผล นี่คือสิ่งที่จำเป็น ต้องบอกได้ว่าดีไม่ดีเพราะอะไร ไม่ใช่เชื่อในสิ่งที่คนอื่นพูดมา อาจารย์บอกมา หนังสือบอกมา สังคมที่ Independent ก็คือการเป็นตัวเองที่สำคัญที่สุดซึ่งเป็นพื้นฐานของประชาธิปไตย

• คุณวสันต์บอกว่างานศิลปะเป็นการดึงคนออกมาให้หลุดจากมายาภาพ แล้วงานศิลปะของคุณวสันต์ทำหน้าที่ตรงนั้นได้มากน้อยแค่ไหน


คืองานผมถ้าไปออกช่อง 3 ได้มันก็คงทุบหัวคนได้ เพราะเป้าหมายงานผมก็คือใช้ค้อนไปทุบหัวคน ไม่ใช่เอายาหอมไปใส่คน อยากให้คนได้ตั้งสติคิดใหม่ ถ้าเราคิดตามกรอบไปเรื่อยๆ ร่างรัฐธรรมนูญไปเรื่อยๆ เพื่อเอื้อประโยชน์กันเอง เราก็หูหนวกตาบอดต่อไป แต่อย่างน้อยงานผมทุบหัวผมได้ก็ยังดี ผมทำไปตามหน้าที่ของผมเท่าที่จะสามารถทำได้ และจะทำมากกว่านี้อีกถ้ายังไม่ตายไปเสียก่อน

• บางคนอาจมองว่าทำงานแบบนี้ชีวิตจะต้องเครียด ในมุมที่ไม่ใช่เวลาทำงานศิลปะ คุณวสันต์มีชีวิตอย่างไร


ผมก็ไม่ได้เครียดนะ ผมก็มองโลกด้วยความเป็นจริงว่าชีวิตคือความทุกข์ ผมก็เลยไม่ได้เกิดมาเพื่อแสวงหาความสุขอะไร อยู่ไปวันๆ ขับถ่าย หิวก็กิน ง่วงก็นอน องโลกในแง่ขบขัน บางทีก็มองว่าปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเรามีส่วนร่วมอะไรได้บ้าง บางทีพอเรารู้สึกต่อเหตุการณ์บางอย่างเราก็อยากแสดงออกไปเลย เป็นบทกวีบ้าง รูปบ้าง พูดคุยกับเพื่อนบ้าง หรือไม่ก็ออกเดินทาง ผมเองก็ไม่ค่อยมีโอกาส ได้เดินทางบ่อย ส่วนมากไปทำงานทั้งนั้น การศึกษาพุทธศาสนามาจึงเป็นหลักคิดให้ผมได้

• อยากให้พูดถึงงานศิลปะในแนวทางลักษณะเดียวกันกับเมืองไทย และเปรียบเทียบกับต่างประเทศว่าสภาพการณ์เป็นอย่างไรบ้าง


จริงๆ ตอนนี้บ้านเราก็พัฒนาไปมาก แนวศิลปะรุ่นใหม่หลายๆ คนก็มีความกระตือรือร้นและมีฝีมือ ผมเองก็พออยู่ได้เพราะมีการซื้อขายรูปบ้าง ไม่ได้ร่ำรวยอะไรพออยู่ไป แต่สิ่งที่เราเชื่อมั่นต่อศิลปะนี่แหละเป็นสิ่งที่หล่อเลี้ยงทำให้เรายืนอยู่ตรงนี้ ทำงานออกไปต่างประเทศ เช่น เกาหลี เบลเยี่ยม ออสเตรเลีย สเปน เพื่อให้ชาวต่างชาติได้ดู อย่างมณเฑียร นี่ถือว่าเขาเป็นคนบุกเบิกศิลปะร่วมสมัยออกไปต่างประเทศเลยก็ว่าได้ แต่ว่าโอกาสในการเอาไปเผยแพร่จริงๆ สำหรับศิลปินเล็กๆ แล้วมันน้อยมาก บางคนกลายเป็นศิลปินตกยุคไปเลยก็มี

• รู้สึกอย่างไรที่ได้รับรางวัลศิลปาธร


ก็ดีใจนึกว่าจะไม่ได้แล้ว นึกว่าจะต้องรอถึงศิลปินแห่งชาติแล้วอายุไม่ถึงแล้วตายก่อน ยินดีที่ได้รับรางวัลศิลปาธร ถือว่าเป็นรางวัลสำหรับศิลปินรุ่นกลางๆ ที่อายุยังไม่ถึงศิลปินแห่งชาติ เป็นการให้กำลังใจคนทำงานสร้างสรรค์ศิลปะในสังคม ซึ่งถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี อยากให้คนที่เป็นคนรุ่นหลัง น้องๆ ให้ความสำคัญกับดารทำงานศิลปะ เพราะบ้านเรายังขาดแคลนทางด้านศิลปวัฒนธรรมมานาน ศิลปินเองก็ต้องต่สู้ดิ้นรนด้ยลำแข้งตัวเอง เราเองก็ไม่ได้เป็นครูบาอาจารย์อะไรก็ถือว่าอยู่ในชีวิตที่ยากลำบาก สิ่งที่สร้างขึ้นมาก็อยากจะให้คนในชุมชน ในสังคม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น