ข่าวไทยรัฐออนไลน์:: ข่าวเศรษฐกิจ

วันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2554

ความเป็นมาของคำว่าไพร่

ความเป็นมาของคำว่าไพร่
Filed under : POLITICS > SOCIAL SCIENCE
ดูเหมือนคำว่า “อำมาตย์” เกือบจะไม่ค่อยมีปัญหาในด้านที่จะต้องตีความ หรือที่จะต้องตอบรับ หรือตอบปฏิเสธ แต่คำว่า “ไพร่” นั่นสิ ที่กลายเป็นปัญหาถกเถียงอย่างรุนแรง



ความเป็นมาของคำว่า “ไพร่”:
ข้อสังเกตและการสืบค้นเบื้องต้น

ชาญวิทย์ เกษตรศิริ

17 ตุลาคม 2553

ห้องประชุมชั้น 4 อาคารปฏิบัติการ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

ในช่วงการประท้วงทางการเมืองเดือนมีนา-เมษา-พฤษภา ปี พ.ศ. 2553 ที่ถนนราชดำเนิน และสี่แยกราชประสงค์นั้น มีปรากฏการณ์ของการนำคำว่า “ไพร่” และ “อำมาตย์” มาใช้คู่กันและตรงกันข้ามกันอย่างกว้างขวาง มีการนำคำว่า “ไพร่” มาสกรีนเสื้อยืดออกขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ขายพร้อมๆกับสินค้านานาชนิดของ “คนเสื้อแดง” ซึ่งก่อให้เกิดการถกเถียงกันอย่างมาก ไม่ว่าจะในหมู่คนที่มีทั้ง “เห็นด้วย” และ “ไม่เห็นด้วย” กับการนำคำเก่าแก่เหล่านี้ กลับมาใช้ในความหมายปัจจุบันในการเมืองไทย และใช้ในความหมายของ “คู่ชก” หรือ versus

ดูเหมือนคำว่า “อำมาตย์” เกือบจะไม่ค่อยมีปัญหาในด้านที่จะต้องตีความ หรือที่จะต้องตอบรับ หรือตอบปฏิเสธ แต่คำว่า “ไพร่” นั่นสิ ที่กลายเป็นปัญหาถกเถียงอย่างรุนแรง ในด้านหนึ่งการนำคำๆนี้ มาใช้โดยนักพูดตัวยงอย่าง “สองเกลอ” เช่น จตุพร พรหมพันธุ์ และณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ นั้น ดูจะ “โดนใจ” คนเสื้อแดง” อย่างจัง ในขณะที่คน “เสื้อ” สีอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น “เสื้อแพง-เสื้อเหลือง-เสื้อชมพู-เสื้อหลากสี” ดูจะหงุดหงิดกับการนำคำๆนี้ ซึ่งแสนจะ “โบราณ” น่าจะตกเวทีประวัติศาสตร์ ไปแล้ว กลับนำมาใช้ใหม่

ในฐานะอาจารย์สอนวิชาประวัติศาสตร์ไทย ผู้เขียนเคยสอนวิชา “อารยธรรมไทย” ที่ธรรมศาสตร์อยู่หลายปี และก็มักใช้ตำราของผู้รู้ เช่น ขจร สุขพานิช (ฐานันดรไพร่) ฯลฯ ที่ว่าด้วย “ไพร่หลวง-สม-ส่วย” แต่ผู้เขียนก็ไม่เคยสะกิดใจ หรือตั้งคำถามทางประวัติศาสตร์ถึงที่มาของคำว่า “ไพร่” มาก่อน ผู้เขียนเชื่อโดยไม่สงสัยว่าคำๆนี้ เป็นคำไทย เก่าแก่โบราณ มีใช้มาตั้งแต่สมัยสุโขทัยและอยุธยา ไม่ว่าจะปรากฏอยู่ใน “กฎหมายตรา 3 ดวง” ปรากฏอยู่ในวลีพังเพย เช่น “ไพร่ฟ้าหน้าใส-ไพร่หนีเจ้า-บ่าวหนีนาย” เป็นต้น

แต่ผู้เขียนเริ่มมาฉุกใจ ก็เมื่อหันไปศึกษาสังคมอื่นๆ ที่ก็ถือว่าเป็นตระกู

“ไท-ไต” ด้วยกัน (เพียงแต่สะกดโดยไม่มี ย. ยักษ์) ไม่ว่าจะเป็น “ล้านนา-ล้านช้าง” คือ บรรดาคนลาว หรือคนไต-ไท (ทั้งในและนอกประเทศของเรา เช่นในสิบสองจุไท-เวียดนาม หรือในสิบสองปันนา-ยูนนาน) ก็ดูเหมือนจะไม่ใช้คำว่า “ไพร่” อย่างของสุโขทัย-อยุธยา-ธนบุรี-รัตนโกสินทร์ แต่กลับไปใช้คำว่า “ข้า” หรือ “ข่า” เป็นต้น ดังนั้น ผู้เขียนก็เลยทดลองหาความรู้ด้วยวิธีการสมัยใหม่และทางลัด คือส่งอีเมล์ ไปถามพรรคพวกเพื่อนฝูง ว่าคำว่า “ไพร่” มีกำเนิดมาจากไหน และยังถามต่อเรื่องข้อเขียนของ นมส. ที่ผู้เขียนชื่นชอบมานาน ดังข้อความต่อไปนี้

เรียน คุณประยอม และนักวรรณกรรมทุกท่าน

ขอเรียนถามว่า บทประพันธ์นี้ของ น.ม.ส.

มาจากงานเขียนเล่มไหน ครับ “…อันผู้ดีมีมาแต่ไหนแน่ สืบไปแน่แท้ก็คือไพร่…”

น่าดีใจ ที่ผู้เขียนได้รับการตอบสนองอย่างดีในเชิงบวก แต่ก็มีรายหนึ่งที่ตอบกลับด้วยบทกลอนบริภาษอย่างรุนแรง ดังนี้

From: Pramote Nakornthab
Subject: Re: นมส.
To: “Charnvit Kasetsiri”
Cc: plew_seengern@yahoo.com, suntouch_k@yahoo.com, “S. Chalong” , “Prayom Songthong”
Date: Tuesday, April 6, 2010, 4:51 AM

จู่ๆ ก็มีหมาย จากชาญวิทย์

ไม่ต้องคิด รีบถาม เลยเจียวว่า

เป็นอะไร จึงถูกปลุก ลุกขึ้นมา

ร่วมศาลา อำมาตย์-ไพร่ในครั้งนี้

ผมพูมใจ รู้ว่าใคร เป็นพ่อปู่

ทุกท่านสู้ สอนให้รัก ในศักดิ์ศรี

ลูกหลานใคร ไม่สำคัญ การันตี

หากอยู่ที่ ดีชั่ว ที่ตัวทำ

ไม่สงกา ดาร์วิน ได้ยินพุทธ

ว่ามนุษย์ ล้วนมา จากสัตว์ต่ำ

สาอะไร ไพร่-อำมาตย์ วาทกรรม

ล้วนระยำ หากกอบกิจ ผิดธรรมา

ล้วนระยำ หากกอบกิจ ผิดเวลา

โปรดสังเกตอีเมล์ข้างบนดังกล่าวว่าลงวันที่ 6 เมษายน 2553 ซึ่งก็เป็นเวลาก่อนเหตุการณ์ ที่เราเรียกกันว่า “เมษา-พฤษภาอำมหิต” หลังจากอีเมล์นั้นมาอีกหลายสัปดาห์ รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (10 เมษายน และ 19 พฤษภาคม 2553) ได้ใช้อาวุธหนักพร้อมกระสุนจริง และกำลังทหารทำการปราบปราม “คนเสื้อแดง” อย่างรุนแรง ทั้งที่ถนนราชดำเนินและสี่แยกราชประสงค์ กล่าวกันว่ารวมแล้วมีผู้เสียชีวิตถึง 90 ศพ และบาดเจ็บประมาณ 2,000 คน ในแง่ของความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินนั้น ดูจะรุนแรงกว่า “14 ตุลาคม 2516” หรือ “6 ตุลาคม 2519” หรือ “พฤษภา 2535”

และเมื่อ รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ แต่งตั้ง “ผู้เฒ่า-ราษฎรอาวุโส” ให้ทำหน้าที่ในคณะกรรมการ 2 ชุด คือ

1. คณะกรรมการกำกับการปฏิรูปประเทศ (มีนายอานันท์ ปันยารชุน เป็นประธาน) และ

2. คณะกรรมการสมัชชาปฏิรูปประเทศ (มี นพ. ประเวศ วะสี เป็นประธาน) นั้น

นสพ. มติชน 18 มิถุนายน 2553 ก็รายงานว่า “อานันท์-ประเวศ ตอบรับเป็นประธานปฏิรูปประเทศ ตั้งเป้าลดความเหลื่อมล้ำในสังคม ชี้ “ไพร่-อำมาตย์” ศัพท์ไม่มีความหมาย…ไม่ขอพูดลดช่องว่างไพร่-อำมาตย์ได้หรือไม่ อ้างไม่อยากหมกมุ่นกับปัญหาในอดีต เป็นศัพท์ที่ไม่มีความหมาย”

ข่าว นสพ. ดังกล่าวยังขยายความต่อไปอีกว่า “เมื่อถามว่า เป้าหมายของคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ คือ การลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม คิดว่าจะลดช่องว่างระหว่างคำว่า “ไพร่” กับ “อำมาตย์” ที่ถูกบัญญัติขึ้นในช่วงที่ผ่านมาได้หรือไม่ อย่างไร



นายอานันท์กล่าวว่า “คณะกรรมการผม จะไม่สนใจเรื่องแบบนี้ ถ้ายกคำว่าไพร่ หรืออำมาตย์ขึ้นมา ผมคิดว่าเป็นศัพท์ที่ไม่มีความหมาย คณะกรรมการทั้ง 2 ชุดนี้ จะไม่หมกมุ่นอยู่กับสิ่งที่เป็นปัญหาในอดีต แต่แน่นอน ความเหลื่อมล้ำในสังคม ไม่ว่าจะเป็น เรื่องเงินทอง เรื่องสิทธิ เรื่องโอกาส อันนั้นต้องทำแน่ แต่เราจะไม่ทำในบริบทของสิ่งที่คุณพูด มันคนละเรื่องกัน”

(ที่มา http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1276844602&grpid=00&catid=)

จากปฏิกิริยาอันเป็น “ลบ” และ “ปฏิเสธ” ต่อการนำคำว่า “ไพร่” กลับมาใช้ใหม่ในสถานการณ์ปัจจุบันดังกล่าว ก็ทำให้ผู้เขียนเชื่อว่า คำๆนี้ น่าจะยังคง “มี” ความหมายอยู่ในสังคมไทยอย่างแน่นอน และในแง่ของวิชาการ ก็น่าจะต้องมีการสืบค้น ทำความเข้าใจกันใหม่อีกครั้งหนึ่ง โชคดีที่ยังมีผุ้ตอบมายังผู้เขียนในเชิงของการแสวงหาความรู้ที่เป็น “บวก” เกี่ยวกับที่มาของคำว่า “ไพร่” ดังตัวอย่างต่อไปนี้

ดร. ยุกติ มุกดาวิจิตร นักสังคมวิทยาจากธรรมศาสตร์ เขียนมาแสดงความเห็นสั้นๆ ว่า

“คำว่าไพร่น่าจะเป็นคำไท-ไตเก่าแก่ ในภาษาไทในเวียดนามหลายสำเนียง มีคำนี้ใช้ ไทดำออกเสียงว่า “ไป” เป็นเสียงพยัญชนะ “ป” สูง เทียบได้กับ “พ” ของไทสยาม คำว่าไพร่ในภาษาไทที่เวียดนาม หมายถึงคนชนชั้นสามัญ ส่วนชนชั้นสูงเรียก “ต้าว” (เสียงวรรณยุกต์โทของไทสยาม) “ต” สูงของไทดำในกรณีนี้เทียบได้กับ “ท” ของไทสยาม คำนี้จึงเท่ากับ “ท้าว” ของไทสยาม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น